2 หุ้นท่องเที่ยวกระทบหนัก “ททท.” เบรก “เราเที่ยวด้วยกัน” เฟส 2 กดผลงานฟื้นยาก

2 หุ้นท่องเที่ยวกระทบหนักสุด หลัง “ททท.” เบรก "เราเที่ยวด้วยกัน" เฟส 2 กดผลงานฟื้นยาก


จากกรณีที่เกิดการทุจริตในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ของรัฐบาล ซึ่งเป็นโครงการที่จะช่วยกระตุ้นภาคท่องเที่ยวในประเทศได้มากช่วงครึ่งปีหลังถึงต้นปี 2564 ส่งผลให้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้าร้องทุกข์กับตำรวจแห่งชาติ และทางภาครัฐจึงได้มีการชะลอโครงการดังกล่าวในเฟส 2 ออกไป

โดยนักวิเคราะห์ได้มีมุมมองเป็น Negative sentiment ต่อข่าวการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งตามข่าวข้างต้นกล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ทุจริตส่วนใหญ่เป็นโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัด ซึ่งการชะลอโครงการออกไปจะส่งผลให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวช้า

ทั้งนี้ นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ถึงกรณีพบความผิดปกติของธุรกรรมทางการเงินในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” โดย ททท.ตรวจพบธุรกรรมที่ต้องสงสัยมีแนวโน้มไปในทางฉ้อโกงหลายรูปแบบ ซึ่งมีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นโรงแรม ร้านค้า และประชาชนที่ร่วมขบวนการ พบว่ามีโรงแรมที่เข้าข่ายพฤติกรรมต้องสงสัยประมาณ 312 ราย ร้านค้าประมาณ 202 ราย ส่วนผู้ที่ใช้สิทธิตามโครงการฯ ก็ยังคงสามารถเข้าพักหรือใช้สิทธิต่างๆ ตามเงื่อนไขได้เช่นเดิม
โดยการดำเนินคดีการทุจริตครั้งนี้เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการกระทำผิดในส่วนของการขยายจำนวน และเวลาการใช้สิทธิของโครงการฯนี้ในเฟส 2 ต่อไป

ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์ข้อมูลการทำธุรกรรมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่ามีกรณีการกระทำที่เข้าข่ายทุจริตในโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งมีทั้งในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรม และในส่วนของร้านค้าที่รับชำระผ่านคูปองใช้จ่าย ได้แก่

1.การเข้าเช็กอินในโรงแรมราคาถูก แต่ไม่ได้เข้าพักจริง ซึ่งจะได้ประโยชน์ในการใช้สิทธิคูปองใช้จ่ายวันธรรมดา 900 บาท วันเสาร์-อาทิตย์ 600 บาท

2.โรงแรมขึ้นราคาค่าห้องพัก โดยร่วมมือกับร้านอาหาร หรือร้านค้าที่รับชำระคูปอง ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นการซื้อขายสิทธิการใช้ห้องพัก แต่ไม่ได้เกิดการเดินทางจริง สาเหตุที่ก่อให้สามารถกระทำลักษณะดังกล่าวเป็นเพราะที่ผ่านมามีการปลดล็อกเงื่อนไขให้สามารถใช้สิทธิเดินทางท่องเที่ยวได้ในภูมิลำเนาของตนเอง โดยเป็นการกระทำในแบบผู้ได้สิทธิร่วมมือกับโรงแรม ส่งเลขบัตรประชาชน 4 หลักสุดท้าย และเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งสามารถใช้รับรหัส OTP ยืนยัน ถือเป็นการโอนสิทธิได้

3.จองแล้วยังไม่ได้เช็คอิน และยังไม่ชำระเงิน

4.มีการใช้ส่วนต่างของคูปองเพื่อรับส่วนต่างเต็มจำนวนกรณีร้านค้าเพิ่มราคาอาหารไปมากกว่ามูลค่าอาหาร
5.มีการเข้าพักจริง แต่เข้าพักแบบเป็นกรุ๊ปเหมา โดยตั้งราคาห้องพักในระดับสูง และสามารถรับเงินส่วนต่างที่ตกลงกันไว้ เป็นการร่วมมือกันระหว่างโรงแรมและผู้เข้าพัก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกรณีที่จองตรงกับโรงแรม

6.โรงแรมที่เปิดขายห้องพักเกินจำนวนจริงที่มี อาทิ มีห้องพักจริง 100 ห้อง แต่เปิดขาย 300 ห้อง ซึ่งจำนวนห้องที่เกินมาจะนำไปขายต่อให้กับโรงแรมอื่น เพื่อรับประโยชน์จากเงินส่วนต่าง

ทั้งนี้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ทาง ตร. จะมอบหมายให้กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เป็นผู้รับผิดชอบคดี และเสนอให้ ผบ.ตร. ตั้งคณะทำงานสืบสวนสอบสวนเพื่อให้พนักงานสอบสวนทั่วประเทศทุกพื้นที่ที่มีร้านค้าหรือโรงแรมที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันดำเนินคดี ซึ่งตำรวจจะเร่งทำการตรวจสอบและนำตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ด้าน บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ โดยให้คำแนะนำหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว โดยมีปัจจัยลบจากข่าวทุจริตในโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” และเลื่อนให้ใช้สิทธิเพิ่มเติมโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีก 1 ล้านสิทธิ

โดยมีมุมมองเป็น Negative sentiment ต่อ

1) ข่าวการทุจริตโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งตามข่าวข้างต้นกล่าวว่า ผู้ประกอบการที่ทุจริตส่วนใหญ่เป็นโรงแรมขนาดเล็กในต่างจังหวัด จึงคาดว่าผู้ประกอบการ ERW CENTEL MINT ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตดังกล่าว

2) การเลื่อนการเปิดให้สิทธิเพิ่มเติมอีก 1 ล้านสิทธิของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ซึ่งตามกำหนดการเดิมจะเริ่มให้สิทธิส่วนเพิ่มตั้งแต่วันนี้ (16 ธ.ค. 2563) เพราะมองว่าโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นปัจจัยหนุนสำคัญต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในปัจจุบัน ขณะที่การเปิดประเทศไทยรับนักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่สามารถทำได้อย่างเต็มรูปแบบ

อย่างไรก็ตาม มองว่าบจ.ที่จะได้รับ Negative sentiment มากสุดจากการเลื่อนให้สิทธิเพิ่มเติมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน คือ ERW (Reduce, ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 3.0 บาท) และ CENTEL (Trading Buy, ราคาเป้าหมายปี 64 ที่ 25 บาท) เพราะมีรายได้หลักมาจากโรงแรมในประเทศ

โดย ยังคงคำแนะนำ Neutral ต่อกลุ่มโรงแรม และยังคงเลือก MINT (Trading Buy, ราคาเป้าหมาย 26.0 บาท) เป็น Top pick ของกลุ่มฯ เพราะมองว่าธุรกิจโรงแรมในยุโรปของ MINT มีโอกาสฟื้นตัวเร็วสุดในกลุ่มในครึ่งปีหลังของปี 64 จาก Domestic Demand ที่แข็งแกร่ง ประกอบกับ MINT มีแบรนด์ที่มีชื่อเสียงทั้งธุรกิจโรงแรม และร้านอาหาร

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button