7 หุ้นเป้าหมายกองทุน

นอกจากเรื่องของ “เม็ดเงินลงทุนสุทธิ” ผ่านกองทุน SSF และ RMF ที่นักลงทุนให้ความสนใจแล้ว อีกเรื่องที่น่าสนใจไม่แพ้กันนั้น คือเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนของกองทุน


เส้นทางนักลงทุน

โค้งสุดท้ายของการลงทุนปี 2563! มองว่าทิศทางตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนอยู่ในกรอบแนวรับ 1,460-1,450 จุด ในส่วนของแนวต้าน 1,500-1,510 จุด

แม้จะมีปัจจัยบวกจากการขานรับการเริ่มฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ให้กับคนในสหรัฐฯ ที่ทำให้มองว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 จะเริ่มชะลอตัวในปีหน้า และจะทำให้เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้นในอนาคตอีกไม่นาน

ขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิ ทำให้ Sentiment ยังดูดีอยู่ แต่ยังต้องจับตาแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติว่าจะเข้ามาอย่างต่อเนื่องหรือไม่

ส่วนระหว่างทางเทรดก็ยังมีความกังวลว่าอาจมีปัจจัยลบอะไรเข้ามากดดันได้อยู่ อีกทั้งดัชนีที่ปรับตัวขึ้นเร็วช่วงก่อนหน้าไปทดสอบแนวต้าน 1,500 จุด แล้วไม่ผ่าน จึงเชื่อว่าจะมีการชะลอตัวระยะสั้นก็เป็นได้ ก่อนที่จะมีปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นรอบใหม่

ดังนั้นทางเลือกการลงทุนช่วงจังหวะรอปัจจัยใหม่เข้ามาสนับสนุน หุ้นเป็นเป้าหมายหลักของกองทุน SSF และ RMF ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ และเป็นทางเลือกของการลงทุน

นอกจากเรื่องของ “เม็ดเงินลงทุนสุทธิ” ผ่านกองทุน SSF และ RMF ที่นักลงทุนให้ความสนใจแล้ว อีกเรื่องที่นักลงทุนในตลาดหุ้นสนใจไม่แพ้กันนั้น คือเป้าหมายของเม็ดเงินลงทุนของกองทุนเหล่านี้นั่นเอง

ข้อมูลเชิงสถิติของกลุ่ม “กองหุ้นไทย” ก็จะไขปริศนาที่ต้องการทราบได้ไม่ยากนัก ในกองหุ้นไทยทั้ง 100% นั้น มากกว่า 90% เป็นกลุ่ม “กองหุ้นใหญ่” ที่เหลือเป็นกลุ่ม “กองหุ้นขนาดกลาง-เล็ก” และ “กองหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม” (ตามการแบ่งกลุ่มของ Morningstar)

ไม่ต่างกันใน 100% มากกว่า 90% เป็นกลุ่ม “กองหุ้นทั่วไป” และ “กองหุ้นขนาดใหญ่” ที่เหลือเป็นกลุ่ม “กองหุ้นขนาดกลาง-เล็ก” (ตามการแบ่งกลุ่มของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน : AIMC)

จากความเป็นไปได้หากลงทุนตามกองทุน เลือก “หุ้นใหญ่” เพราะเป็นเป้าหมายหลักของ “กองทุน SSF และ RMF” นั่นเอง

ทั้งนี้ จึงคัดเลือกหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นหุ้นเป้าหมายกองทุน SSF และ RMF ตามคำแนะนำของ บล.โกลเบล็ก อันได้แก่หุ้น BBL, KBANK, TOP, PTTGC, PTT, ADVANC และ INTUCH เป็นต้น

นอกจากที่เชื่อว่าจะเป็นหุ้นเป้าหมายของกองทุนแล้ว ก็ยังมีปัจจัยบวกคอยเป็นตัวขับเคลื่อนราคาให้ปรับตัวขึ้น

ตามสมมติฐานอย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL เนื่องจากคงมีมุมมองเป็นบวกในไตรมาส 4/2563 หลังไม่มีค่าใช้จ่ายประมาณการของการควบรวมธนาคาร Permata เหมือนในไตรมาส 3/2563 ประกอบกับพอร์ตสินเชื่อธุรกิจรายใหญ่มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น

ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ถึงแม้ว่าราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่จากการประเมินทางสถิติ พบว่าในแง่การประเมินมูลค่าหุ้น Valuation ปัจจุบันยังซื้อขายที่ระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปี อีกทั้งคาดการณ์ว่ากำไรปี 2564 จะกลับมาฟื้นตัว และที่สำคัญฐานะเงินกองทุนแข็งแกร่ง

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เนื่องจากมีการคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/2563 ออกมาดี ด้วยแรงหนุนหลายประการ คือ ต้นทุนราคาน้ำมันเฉลี่ย (OSP) ลดลง มีกำไรจากสต๊อก กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งกำไรจากการขายหุ้น GPSC ออกไป (แต่ก็ทำให้การรับรู้กำไรตามส่วนได้เสียลดลง ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ต่ำลง)

รวมทั้งคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่าจะมีกำไรจากสต๊อกน้ำมัน 2.6 พันล้านบาท จากขาดทุนสต๊อกน้ำมันถึง 8.1 พันล้านบาทในปีนี้ และ base GRM จะพุ่งสูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 0.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 3.3 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เนื่องจากมีการคาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/2563 ออกมาดี ด้วยแรงหนุนคือ มีกำไรจากสต๊อก กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งอัตรากำไรของสินค้าประเภทปิโตรเคมีที่ดีขึ้น

รวมทั้งคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2564 จะฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากคาดว่ากำไรจากสต๊อกน้ำมันจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.9 พันล้านบาท จากที่คาดว่าจะขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันถึง 6.0 พันล้านบาทในปี 2563, อีกทั้ง base GRM จะสูงขึ้น 73% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็น 4.0 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปีหน้า และจะเริ่มเปิดดำเนินการสองโครงการปิโตรเคมีขนาดใหญ่ในเดือนธันวาคม ได้แก่ โครงการ Olefins Reconfiguration project (ORP) และ PO/Polyols

บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT เนื่องจากคาดว่ากำไรในปี 2564 เป็น 7.77 หมื่นล้านบาท โตถึง 93% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยคาดว่าบริษัทโรงกลั่นในเครือสามแห่ง (PTTGC, TOP และ IRPC) มีกำไรจากสต๊อกน้ำมันเพิ่มขึ้นหลังจากที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะฟื้นตัวขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน จาก 42 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เป็น 53 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ในปี 2564

ในขณะเดียวกัน คาดว่ากำไรจากธุรกิจของ PTT ที่ไม่รวมบริษัทในเครือที่อยู่ใน SET จะโตจากงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2564 ด้วยเช่นกัน เนื่องจากปริมาณยอดขายก๊าซธรรมชาติ (NGV) จะเพิ่มขึ้น, รวมถึงอัตรากำไรของโรงแยกก๊าซ (GSP) ดีขึ้นเนื่องจากราคา polyethylene (PE) สูงขึ้น และราคาก๊าซฯ ลดลง และปริมาณยอดขายน้ำมันเพิ่มขึ้น

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC เชื่อว่าปัจจัยฤดูกาล และการเปิดตัวไอโฟน 12 จะช่วยหนุนให้กำไรโตในไตรมาส 4/2563 ขณะเดียวกันจากผลประกอบการแข็งแกร่งกว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม และคาดว่าอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลปี 2563-2564 จะอยู่ที่ 3.6% และ 3.5% ตามลำดับ

บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH มีการคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักในไตรมาส 4/2563 จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน เนื่องจากคาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทลูกจาก ADVANC จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

กลยุทธ์ลงทุนเพียงอ้างอิงหุ้นที่เป็นเป้าหมายของกองทุนพร้อมด้วยปัจจัยบวกหนุน!!!

Back to top button