“เมอร์ริล ลินช์” ชี้ “อีวี” 5 ปีโตแรง! ชู EA-BANPU ตัวท็อป! อัพไซด์เกิน 50%

“เมอร์ริล ลินช์” ชี้ “อีวี” 5 ปีโตแรง! ชู EA-BANPU ตัวท็อป! อัพไซด์เกิน 50%


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักวิเคราะห์เมอร์ริล ลินช์ (Merrill Lynch หรือ ML) มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มที่ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ ซึ่งได้รับปัจจัยบวกจากการผลักดันมาตรการควบคุมค่ามาตรฐานไอเสียในยุโรป และจีนให้เป็นศูนย์ ทำให้มีแนวโน้มรถยานยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (electric vehicle) มีความน่าสนใจมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าแนวโน้มนี้จะขยายกว้างขึ้น 34% บนอัตราการเติบโต CAGR ในปี 2563-2568

ส่วนแนวโน้มอัตราการเติบโตของแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นถึง 52% CAGR ในปี 2563-2568 จากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และนโยบายเครดิตสองทาง (Dual-Credit Schemes) ของจีนที่จะมีการให้เครดิตทั้งในด้านบวกและลบกับบริษัทผู้ผลิตยานยนต์ทั้งในแบบที่ผลิตยานยนต์ไอเสียทั่วไปและยานยนต์ไฟฟ้า นอกจากนั้นแล้ว ผู้คนยังให้ความสนใจมายังยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น เพราะมีทั้งเงินสนับสนุน และมาตรการช่วยเหลือด้านภาษีอากร

สำหรับธุรกิจแบตเตอรี่นั้น เมอร์ริล ลินช์ คาดว่าแบตเตอรี่นิกเกิล (NCMA) จะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดที่ 71% CAGR เพราะให้ความหนาแน่นสูง ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแบต NCMA จะโตขึ้นจาก 2% ในปี 2562 เป็น 35% ในปี 2573

ด้านแบตเตอรี่ลิเธียมฟอสเฟส (LFP) ก็ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศจีนจากความได้เปรียบด้านต้นทุน แต่อัตราการขยายตัวจะน้อยกว่า NCMA โดยอยู่ที่ 33% CAGR และคาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะคงอยู่ในระดับเดิมที่ 21% ในปี 2573

เมอร์ริล ลินช์คาดว่าราคาชุดแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าจะลดลงจาก $175/kWh สู่ $104/kWh ในปี 2568เนื่องด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆที่นำมาใช้กับส่วนประกอบสำคัญในแบตเตอรี่จะช่วยลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิตได้

ส่วนแนวโน้มยานยนต์ไฟฟ้าในไทยนั้นมีบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์(ตลท.) คาดได้ประโยชน์จากแนวโน้มดังกล่าว ได้แก่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ให้ราคาเป้าหมาย 108 บาท หรือ คิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 57% จากราคาปิดวานนี้(26 ม.ค.64) ที่ระดับ 68.75 บาท จากโรงงานแบตขนาด 50GWH

ด้านบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ให้เป้าราคาเป้าหมาย 16.40 บาท หรือคิดเป็นอัพไซด์ประมาณ 53% จากราคาปิดวานนี้(26 ม.ค.64) ที่ระดับ 10.80 บาท โดยมองว่าจากการจับมือกับบริษัท ดูราเพาเวอร์จะเพิ่มมูลค่าให้หุ้นได้ถึง 3 บาท บนกระแสยานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรง ส่วนบริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE ให้ราคาเป้าหมาย 100 บาท (บนพื้นฐาน 30x PE) จากคาดการณ์รายได้ที่ดี และกำลังเป็นกระแสในตลาด

ด้านบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ปัจจุบันมีโรงงานสามารถผลิตแบตเตอรี่ด้วยเทคโนโลยี Semi-solid เซลล์แรกของประเทศไทย หรือ “G-Cell” ได้แล้ว และคาดว่าโรงงานจะแล้วเสร็จพร้อมดำเนินการผลิต(Start of Regular Production) ภายในไตรมาส 2 ปี 2564 โดยในช่วงแรกโรงงานจะผลิตแบตเตอรี่ ทั้งในส่วน Mobility และ Stationary ป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรม สถานีอัดประจุธุรกิจขนส่ง เช่น รถตุ๊กตุ๊กไฟฟ้า รถบัสไฟฟ้า และการประยุกต์ใช้งานด้านอื่น ๆ เป็นต้น

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button