เปิดโผ 12 รายชื่อหุ้นพื้นฐานแกร่ง! ลุ้น Q1 กำไรโตเด่นสวนโควิด

เปิดโผ 12 รายชื่อหุ้นพื้นฐานแกร่ง! ลุ้นโชว์งบฯ Q1 กำไรโตเด่นสวนโควิด


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลบริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ที่โบรกเกอร์ชั้นนำของไทยได้ทำการวิเคราะห์และได้คาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 1/2564 จะออกมาดีท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 ระบาดหนักระลอกใหม่

โดยครั้งนี้ทำการรวบรวมข้อมูลหุ้นจากบทวิเคราะห์บล.ทิสโก้ และบล.ทรีนีตี้ คาดว่างบไตรมาส 1/2564 จะออกมาโตดี โดยมีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ทั้งหมด 12 ตัว ได้แก่ DCC, EASTW,GULF,MTC,NYT,PTG,PTTGC, SCC,STEC, TASCO,TPIPL,COM7  โดยมีรายละเอียดข้อมูลประกอบการลงทุนดังนี้

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) หรือ DCC คาดกำไรเบื้องต้นในไตรมาส 1/2564  จะทำสถิติใหม่ที่ 455 ล้านบาท โต23% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ โต 25% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากความต้องการที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง ด้วยงบที่จะออกมาดีคาดบริษัทจะจ่ายปันผลไตรมาส 1 ที่ 0.055 บ./หุ้น หรือคิดเป็นยีลด์ราว 2.4% ปรับประมาณการกำไรขึ้นเล็กน้อย เป้าพื้นฐานใหม่อยู่ที่ 3.3 บ.

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) EASTW จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารยังคงมุมมองเชิงบวก จากการปรับโครงสร้างราคาขายน้ำใหม่ คาดจะส่งผลให้ราคาขายน้ำดิบเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3-5% ในปีนี้ นับเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ปี และสัญญาณการฟื้นตัวของปริมาณการขายน้ำดิบในเดือน ม.ค. และ ก.พ. โต 2.5% และโต 12.4% ตามลำดับ

ขณะที่ปริมาณน้ำสำรองของบริษัทอยู่ในระดับสูงที่ 462 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็น 64% ของกำลังความจุ, แนวโน้มกำไรสดใสจากความต้องการใช้น้ำที่เพิ่มขึ้นทั้งภาคอุตฯ และภาคครัวเรือน จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการเปิดรับนักท่องเที่ยว ผสานกับการส่งเสริมการลงทุนใน EEC, ปันผลดี 4% ต่อปี จะขึ้น XD 5 พ.ค. ปันผล 24 สต./หุ้น (รวมทั้งปี 20 จ่ายปันผล 40 สต./หุ้น), เป้าพื้นฐาน 12.7 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  หรือ GULF คาดกำไรไตรมาส 1/2563  จะปรับตัวขึ้นเทียบไตรมาสก่อนหน้า คาด SG&A ลดลงจากการหายไปของค่าใช้จ่ายครั้งเดียวจากการซื้อ BKR2 โดยไตรมาส1จะเป็นฤดูที่โรงไฟฟ้า IPP มีผลกำไรดีกว่าแนะนำให้ ซื้อ โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 36.00 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC จากการสัมภาษณ์ผู้บริหารได้ให้แนวทางเชิงบวกต่อแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อไตรมาส 1/2564 ที่ประมาณ 15-20% และเป้าหมายทั้งปียังคงไว้ที่ 20-25% ขณะที่ยังรักษาคุณภาพสินเชื่อได้ดี (NPL ยังต่ำกว่าระดับ 2%)

คาดกำไรไตรมาส1/2564 จะขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่เติบโตทั้ง ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเทียบไตรมาสก่อนหน้า ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของสินเชื่อ และการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถมอเตอร์ไซด์ ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่กำลังไปได้สวย, เราปรับประมาณการกำไรปีนี้และปีหน้าขึ้นปีละประมาณ 4-5% ปรับพื้นฐานใหม่ปรับขึ้นเป็น 78 บาท ยังแนะนำ ซื้อ

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7  ปรับคำแนะนำขึ้นจาก ถือ เป็น ซื้อ เป้าพื้นฐานใหม่ 66.25 บาท จาก 1) ผลประกอบการไตรมาส1/2564 คาดเติบโตสูง 68% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ 483 ลบ. จากความต้องการสินค้า ทั้ง Apple และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่สูงต่อเนื่อง 2) เป็นผู้นำในตลาดค้าปลีกสินค้าไอทีที่จะเติบโตไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี 4G เป็น 5G ซึ่งจะสร้างความต้องการโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมถึงสินค้าเกี่ยวเนื่องไปอีกอย่างน้อย 2 ปี โดยคาดผลประกอบการจะเติบโตเฉลี่ย (CAGR ปี2564-2565) 23% ต่อปี สูงกว่าอุตสาหกรรมไอ

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท นามยง เทอร์มินัล จำกัด (มหาชน) หรือ NYT สมมติฐานเรายังคงเดิมด้วยยอดการส่งออกรถยนต์ในปี 2564-2565 ที่ 8.64 แสนคัน และ 1 ล้านคัน ตามลำดับ ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น 45% และ 45% และสมมติฐาน SG&A ต่อยอดขาย 10.5% และ 10% ในปี 2564-2565 ทำให้ยังคงประมาณการรายได้และกำไรสุทธิ 2564-2565 จะยังคงเดิม นอกจากนี้ NYT ประกาศจ่ายปันผล 0.2 บาท/หุ้น (XD 7 พ.ค.) สำหรับ NYT แนะนำให้ ซื้อ โดยมีมูลค่าที่เหมาะสม 4.70 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG แนะนำซื้อมูลค่าที่เหมาะสม 24.50 บาท เนื่องจากปี 2564 คาดธุรกิจสามารถเติบโตได้แม้จะมีฐานการเติบโตที่สูงในปี 2563 และครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 2 และคาดปริมาณขายน้ำมันฟื้นตัวโดย ณ ปัจจุบันโต 8-12% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ค่าการตลาดในปัจจุบันยังอยู่ระดับ 1.90 บาทต่อลิตร 4) ธุรกิจ Non-oil มีบทบาทมากขึ้นคาดจะเริ่มรับรู้กำไรได้ในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจร้านกาแฟ ขณะที่คาดส่วนแบ่งกำไรจากปาล์มคอมเพล็กซ์สูงกว่าปี 2563 จากระดับราคไบโอดีเซลปัจจุบันที่ 35-40 บาทต่อลิตร อย่างไรก็ตาม PTG ซื้อขายที่เพียง PER 17 เท่า ในขณะที่ยังมี upside การเติบโตจากแผนการขยายเข้าสู่ธุรกิจ Non-oil และธุรกิจใหม่มากขึ้น

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)  หรือ PTTGC ระบุว่า คณะกรรมการบริหารของ PTTGC ได้อนุมัติแผนการเข้าซื้อหุ้น free float ที่เหลืออีก 16.2% ของ VNT ด้วยราคาเสนอซื้อต่อหุ้น 39 บาท มีค่าพรีเมี่ยมที่ 6% จากราคาปิดวันที่ 18 มี.ค. 64 หรือ 14% สูงจากราคาหุ้นเฉลี่ย YTD โดยปัจจุบัน PTTGC ถือสัดส่วนใน VNT อยู่แล้วที่ 25.0% ทั้งนี้ AGC Inc. (ผู้ถือหุ้นราว 58.8% ของ VNT) เผยไม่มีความต้องการที่จะขายหุ้นของ VNT และ VNT จะถูกถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์หลังการซื้อขายเสร็จสิ้นลง มองเหตุผลในการเข้าซื้อครั้งนี้ค่อนข้างมีความชัดเจน โดยจะช่วยสร้างวงจรธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่แข็งแรงให้แก่ PTTGC และเป็นการขยายธุรกิจไปในตัว

อย่างไรกก็ตามในมุมมองระยะยาว PVC เป็นสายเคมีภัณฑ์ที่มีความแข็งแกร่งที่สุด โดยมีอุปทานค่อนข้างจำกัด เนื่องจากการขยายกำลังการผลิตอย่างจำกัด ซึ่งจะดำเนินต่อไปอย่างน้อยในช่วงปลาย 2023 อีกทั้งแนวโน้มราคาเอทิลีนที่ต่ำลง (จากการเพิ่มกำลังการผลิตในจีนในช่วง 2021-23) คาดจะช่วยหนุนมาร์จิ้น มองกำไรปี 2564 ของ PTTGC จะเติบโตขึ้น 2% (คำนวณจากการถือ VNT ที่ 16.2% และการประเมินจาก consensus รวมถึงต้นทุนทางการเงินที่ 3% ของ PTTGC) แนะนำ ซื้อ ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 75 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC แนวโน้มกำไรปีนี้คาดจะกลับมาเติบโต 22% เนื่องจากโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำสร้างเสร็จเกือบทั้งหมดแล้ว ขณะที่โครงการมาร์จิ้นสูง เช่น โรงไฟฟ้าและโครงการพลังงานสะอาดจะรับรู้รายได้มากขึ้น, งานในมือปัจจุบันอยู่ที่ 1.17 แสนลบ. มีศักยภาพจะเพิ่มขึ้นอีกจากหลายโครงการที่เปิดประมูลในช่วงปลายปีที่แล้วต่อเนื่องจนถึงปีนี้ เช่น รถไฟฟ้าสีส้มตะวันตก, รถไฟฟ้าสีม่วงใต้ และรถไฟทางคู่ แนะซื้อราคาเป้าพื้นฐาน 18 บาท

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPL แม้ไตรมาส4/2563 มีผลขาดทุนสุทธิ 233 ล้านบาท แต่หลักๆ มาจากขาดทุนจากการด้อยค่าของสินทรัพย์สูงถึง 1.6 พันลบ. หากไม่รวมรายการดังกล่าว จะมีกำไรหลักจากการดำเนินงานสูงถึง 1.44 พันล้านบาท โต 520% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และโต 121% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากส่วนต่างราคา LDPE ที่เพิ่มขึ้น, แนวโน้มกำไรไตรมาส 1/2564 ยังสดใส จากราคาและมาร์จิ้น LDPE ที่ปรับตัวสูงขึ้น ปรับประมาณการกำไรปี 2564-2565 ขึ้น 22% และ 25% ตามลำดับ แนะนำซื้อและปรับเป้าพื้นฐานใหม่ขึ้นเป็น 1.88 บ.

 

บล.ทิสโก้ ระบุว่า บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO คาดกำไรจะยังดีต่อในช่วงครึ่งแรกปี 2564  ซึ่งจะถูกสนับสนุนโดยราคาและอุปสงค์ยางมะตอยที่สูงขึ้นทั้งในไทยและต่างประเทศ รวมถึงคลังน้ำมันดิบที่คาดจะเพียงพอจนถึงเดือนก.ค. แม้ราคาน้ำมันดิบจะเริ่มปรับตัวสูงขึ้น แต่กำไรยังคงดีเนื่องจากราคายางมะตอยที่ปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ส่วนของการหาแหล่งน้ำมันดิบใหม่นั้น ปัจจุบัน TASCO ค้นพบแหล่งน้ำมันดิบที่เสนอขายอยู่หลายแห่ง แต่ปัจจัยสำคัญยังเป็นเรื่องของความสามารถในการทำกำไรของแหล่งน้ำมันแต่ละแหล่ง ยังคงแนะนำ ถือ ด้วยมูลค่าเหมาะสมที่ 21.50 บาท

 

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ประเมินว่า บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 430 บาทต่อหุ้น โดยราคาเม็ดพลาสติก High Density Polyethylene (HDPE) และเม็ดพลาสติกโพลิโพรพิลีน (PP) ทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 2561 มาอยู่ที่ระดับ 1,330 เหรียญสหรัฐต่อตัน และ 1,140 เหรียญสหรัฐต่อตัน ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากราคาต้นทุนน้ำมันที่ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ถ้าไปดูส่วนต่างราคาต้นทุนหรือ HDPE-Naphtha spread ล่าสุดอยู่สูงถึง 720 เหรียญสหรัฐต่อตัน ซึ่งเป็น Spread ที่สูงสุดในรอบ 3 ปีเช่นกัน ในขณะที่ PP-Naphtha เองก็อยู่ในระดับที่สูงเช่นกันที่ระดับ 500 เหรียญสหรัฐต่อตัน ระดับส่วนต่างราคาที่สูงและราคาขายที่ปรับสูงเช่นนี้เป็นเครื่องสะท้อนความต้องการเม็ดพลาสติกในตลาดที่ยังแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวในหลายประเทศ โดยประเทศขนาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีนคาดว่าจะรายงานตัวเลข GDP ขยายตัวเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสได้ โดยสหรัฐฯ น่าจะอยู่ที่ราว 4.5% และจีนน่าจะอยู่ที่ราว 1.3%

แม้ว่าผลประกอบการจะชะลอตัวในไตรมาส 4/2563 แต่จะฟื้นตัวแรงในไตรมาส 1/2564 จากปริมาณการขายที่กลับมาเป็นปกติ ในขณะที่ส่วนต่างราคาของ HDPE-Naphtha ยังแข็งแกร่งในระดับ 600-700 เหรียญสหรัฐต่อตัน จึงประเมินว่ากำไรอาจจะฟื้นกลับมาในระดับ 9,000-10,000 ล้านบาท

ดังนั้นยังคงประมาณการกำไรปี 2564 ที่ 39,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน โดยยังคงมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจปิโตรเคมีที่ยังอยู่ใน Up cycle จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศโดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นผู้ที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์เคมีมากเป็นอันดับ 1 ของโลก

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button