พาราสาวะถี

ยืนยันมาจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.ในฐานะหมอการเมืองอีกรายว่า คณะกรรมการ 3 ชุดที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งขึ้นมานั้น เพื่อบูรณาการงานในส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นส่วนหนึ่งในศบค. ทำงานประสานงานเชื่อมโยงระหว่างคณะทำงานชุดต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องและเชื่อมโยงข้อมูลขึ้นมาสู่การบริหารจัดการในระดับที่นายกรัฐมนตรีจะได้เข้ามารับรู้ข้อมูลเป็นรายวันโดยเร็ว เพื่อบริหารสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับภาคส่วนอื่น ๆ ยังดูแลกันเหมือนเดิม


อรชุน

ยืนยันมาจาก นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศบค.ในฐานะหมอการเมืองอีกรายว่า คณะกรรมการ 3 ชุดที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจตั้งขึ้นมานั้น เพื่อบูรณาการงานในส่วนของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เป็นส่วนหนึ่งในศบค. ทำงานประสานงานเชื่อมโยงระหว่างคณะทำงานชุดต่าง ๆ เพื่อให้สอดคล้องและเชื่อมโยงข้อมูลขึ้นมาสู่การบริหารจัดการในระดับที่นายกรัฐมนตรีจะได้เข้ามารับรู้ข้อมูลเป็นรายวันโดยเร็ว เพื่อบริหารสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว สำหรับภาคส่วนอื่น ๆ ยังดูแลกันเหมือนเดิม

ยิ่งฟังยิ่งงงกันไปใหญ่ ในเมื่อถืออำนาจเบ็ดเสร็จทั้งหมดอยู่ในมืออยู่แล้วในฐานะผู้อำนวยการศบค.ที่ใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินและรวบอำนาจจากกฎหมาย 31 ฉบับมาไว้กับตัวเองทั้งหมด ยังมีอะไรที่จะต้องเป็นกังวลหรือตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อให้มันยุ่งยาก วุ่นวายอย่างนั้นหรือ ความจริงก็มีเพียงเหตุผลเดียว หากทำงานภายใต้บริบทอื่น ๆ แล้วเกิดสามารถแก้ไขสถานการณ์การระบาดในพื้นที่กทม.และปริมณฑลได้ ก็จะถูกเคลมเป็นผลงานในภาพรวมทั้งหมด

แต่การสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำภายใต้คณะกรรมการชุดใหม่ที่เจาะจงเฉพาะพื้นที่นั้น หากสามารถแก้ไขให้สถานการณ์สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยจะเห็นได้จากคณะทำงานที่มีแต่ข้าราชการและในระดับนำก็ล้วนแต่เป็นมือไม้จากฝ่ายความมั่นคงผู้ใกล้ชิดผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจทั้งสิ้น ถ้าทำงานบรรลุเป้าหมาย ก็จะได้เคลมเป็นผลงานของตัวเองแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยที่สองรัฐมนตรีที่ดูแลกระทรวงคุณหมอจากภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ได้แต่มองตาปริบ ๆ

ความจริงก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะเห็นกันอยู่แล้วว่าทุกองคาพยพในการขับเคลื่อนงานสำคัญ ๆ ภายใต้รัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้น ผู้นำเผด็จการไม่ได้เลือกใช้บริหารของรัฐมนตรีในนามพรรคร่วมรัฐบาลแม้แต่น้อย ทุกเรื่องจะขยับโดยคณะที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจและทีมเศรษฐกิจที่เป็นคนในโควตาของตัวเอง นั่นเป็นเพราะการเชื่อมั่นว่าอำนาจที่มีอยู่ในเวลานี้เกิดจากการวางแผนและจัดการด้วยมันสมองของตัวเองและคณะล้วน ๆ พวกที่เข้ามาร่วมก็เพียงแค่ผู้ที่เข้ามาเกาะใบบุญของตัวเองเท่านั้น

ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับสำนึกและการมองเห็นคุณค่าความมีศักดิ์ศรีของคนที่เป็นผู้นำทั้งสองพรรคเท่านั้นว่า ต้องการจะให้พรรคของตัวเองยืนอยู่ในฐานะไหน ป่วยการหากจะอ้างว่าทุกอย่างที่ทำไปเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ มันก็สัมผัสและรับรู้กันอยู่ ทุกการขับเคลื่อนที่เป็นไป ไม่มีใครมองเห็นว่าเป็นฝีมือของคนจากทั้งสองพรรคแต่อย่างใด เช่นนี้มันจะมีประโยชน์อะไรหากตั้งความหวังว่าจะเก็บเกี่ยวผลงานให้ประชาชนจดจำแล้วเพื่อจะได้เลือกกลับมาในการเลือกตั้งครั้งหน้า

หากเดินไปในทิศทางเช่นนี้ เชื่อได้เลยว่า เมื่อถึงเวลานั้นคนก็จะจดจำแต่พรรคสืบทอดอำนาจ และไปพิจารณาเอาหน้างานว่า ผลงานก่อนการเลือกตั้งมากพอที่จะหย่อนบัตรไว้วางใจหรือไม่ ส่วนประชาธิปัตย์ยังไม่เห็นมีมุมไหนที่จะสร้างคะแนนตีตื้นขึ้นมาได้ดีกว่าการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา มิหนำซ้ำ ยังส่อว่าจะเสียรังวัดและกลายเป็นพรรคสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างกันกับภูมิใจไทยที่นอกเหนือจากผลงานผลักดันกัญชาให้เป็นสิ่งถูกกฎหมายแล้ว ไม่มีอะไรอีกเลยที่จะเคลมเป็นผลงานได้

สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมเป็นอันขาดคือ ปฏิกิริยาหรือการเล่นเกมการเมืองจากคนภายในพรรคสืบทอดอำนาจ การเลือกตั้งซ่อมเขต 3 นครศรีธรรมราช พรรคเก่าแก่ได้รับรู้ความเจ็บปวดมาแล้ว ไม่ต่างกันกับภูมิใจไทยที่เกิดกรณีของ ศุภชัย ใจสมุทร กับการโพสต์บทความของมติชน ก็ถูกคนในพรรคแกนนำรัฐบาลรุมถล่มยับ นั่นหมายความว่า ในมิติทางการบริหารที่ต้องอาศัยมือจากพรรคร่วมรัฐบาลคนของพรรคนี้ก็มองเป็นพวก แต่พอถึงมิติทางการเมืองก็รีบผลักเพื่อนให้กลายเป็นศัตรูที่ต้องเข่นฆ่าให้ตายไปข้างโดยทันทีทันใด

โดยเฉพาะสนามภาคใต้ แน่นอนว่า หากคนของพรรคเก่าแก่ได้ตระหนักต่อเจตนาของพรรคสืบทอดอำนาจที่จะยึดครองพื้นที่ซึ่งเคยเป็นดินแดนของวลีเด็ดที่ว่าส่งเสาไฟฟ้าลงยังชนะกลายเป็นเสาไฟฟ้าล้มระเนระนาดมาแล้ว ผ่านคำสั่งของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่อการให้รัฐมนตรีไปดูแลพื้นที่จังหวัด ก่อนที่จะกลับลำในเวลาต่อมา ย่อมสะท้อนความต้องการของพวกที่มองเป็นคนกันเองได้อย่างดีว่ามีเป้าประสงค์อย่างไร ถ้ายังไม่ตระหนักรู้หรือแสดงจุดยืนที่เด็ดเดี่ยวออกมา ย่อมมองเห็นอนาคตกันว่าบทสรุปจะเป็นแบบไหน

สัญญาณเตือนที่สำคัญสำหรับพรรคเก่าแก่ต่อตัวบุคคลที่จะมาบัญชาการการต่อสู้ในสนามภาคใต้ของพรรคสืบทอดอำนาจคือการรอดจากคมหอกของศาลรัฐธรรมนูญในรายของ ธรรมนัส พรหมเผ่า จากการติดคุกคดียาเสพติดที่ออสเตรเลียด้วยคำวินิจฉัยที่ตามมาด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ นี่ย่อมเป็นตัวบ่งชี้ถึงอำนาจและบารมีของผู้ที่อยู่เบื้องหลังรัฐมนตรีจากเมืองเหนือรายนี้ได้เป็นอย่างดี และเมื่อมีหัวโขนโดยที่ถูกมองว่าก่อนเลือกตั้งจะมาถึงเจ้าตัวอาจจะเลื่อนขั้นไปถึงตำแหน่งว่าการกระทรวง ย่อมเป็นงานหนักของประชาธิปัตย์ที่ต้องรับมือแน่นอน

อย่างไรก็ตาม คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญนั้น มุนินทร์ พงศาปาน คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงความเห็นชนิดที่ว่าน่าจะตรงใจกับคนจำนวนมาก ศาลอ้างอำนาจอธิปไตยทางศาลเป็นเหตุผลหลักในการปฏิเสธคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่คนทั่วไปต่างก็ทราบว่าประเทศไทยเป็นรัฐอธิปไตยที่มีอิสรภาพทางการศาลที่สมบูรณ์มาตั้งแต่ปี 2481 เหตุผลเช่นนี้เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้

การใช้เหตุผลในเชิงชาตินิยมที่มีน้ำหนักเบาบางเพื่อปิดกั้นคำพิพากษาศาลต่างประเทศ เป็นการละทิ้งโอกาสอย่างน่าเสียดายในการหักล้างข้อสงสัยของสาธารณชนที่มีต่อเจตนารมณ์ที่แท้จริงของบทบัญญัติว่าคนที่เป็นส.ส.ควรมีคุณสมบัติแบบใด เป็นข้อสงสัยที่ไม่ต้องใช้เหตุผลทางกฎหมายที่ซับซ้อน แต่ใช้เพียงแค่เหตุผลธรรมดาสามัญก็สามารถตอบได้ แต่ที่มุนินทร์มองเห็นและเป็นความรู้สีกเดียวกันกับคนไทยส่วนใหญ่ก็คือ ความเชื่อมั่นศรัทธาของสังคมที่มีต่อระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมไทยตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

Back to top button