แป้งก็แป้งวะ

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งยุคเซเวนตี้ ชื่อเรื่องภาษาไทย “บ้าก็บ้าวะ” นำแสดงโดยแจ๊ค นิโคลสัน ดาราเจ้าบทบาทหลายรางวัลเกียรติยศ เป็นหนัง “คอมเมดี้” มันฮาดียังจดจำมาได้ถึงทุกวันนี้


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ผมนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งยุคเซเวนตี้ ชื่อเรื่องภาษาไทย “บ้าก็บ้าวะ” นำแสดงโดยแจ๊ค นิโคลสัน ดาราเจ้าบทบาทหลายรางวัลเกียรติยศ เป็นหนัง “คอมเมดี้” มันฮาดียังจดจำมาได้ถึงทุกวันนี้

เรื่องจริงวันนี้ มันก็คลับคล้ายคลับคลากับเรื่อง “บ้าก็บ้าวะ” เหมือนกัน ผมขอตั้งชื่อมันว่า “แป้งก็แป้งวะ” ภายหลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญให้.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ไม่ขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีและส.ส.

กรณีมันคือ “แป้ง” ไม่ใช่ “เฮโรอีน” อันลือลั่นกลางสภาผู้แทนราษฎร

วันนั้น มันคือคำโกหกกลางสภา ที่กฎหมายไม่พอจะจับได้ไล่ทัน แต่วันนี้ กลับกลายเป็นว่า การไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญนั้นพบว่า ร.อ.ธรรมนัส ค้ายาจริง มีความผิดจริง และติดคุกจริงตามคำสั่งศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ ออสเตรเลีย

แต่นั่นเป็นคำพิพากษาของศาลต่างประเทศ ศาลไทยย่อมไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของรัฐอื่น หรือไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจตุลาการของรัฐอื่น ร.อ.ธรรมนัสจึงไม่สิ้นสภาพส.ส.และรัฐมนตรี

คำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญ มิพักจะไปพิจารณาหลักการ “ดับเบิล คริมินอลิตี้” อันเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด เป็นความผิดที่ต้องตรงกันของทั้งสองประเทศ (ออสเตรเลีย-ไทย) และอีกหลักหนึ่งคือ หลักคุณธรรมจริยธรรมขั้นสูงของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งระบุไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ

หลายคนบอก ไม่เซอร์ไพรส์กับคำพิพากษา แต่หดหู่ต่อขบวนการยุติธรรมในบ้านเมืองมากยิ่งขึ้น

เท่ากับว่า คำโกหกกลางสภา “มันคือแป้ง” วันนั้น ได้รับการตีตราความชอบธรรมทางกฎหมาย เสมอสถานะ “โกหกโดยชอบ” ไปเสียแล้ว

เราอยู่ในบ้านเมืองยุค “เฮโรอีนเป็นแป้ง” การบริหารงานโควิดทั้งการป้องกันและการบำบัดรักษา ก็เสมอเหมือนเป็นการบริหารโควิดแบบแป้ง ๆ ไปด้วย

เริ่มแต่กลัดกระดุมเม็ดแรกก็ผิดเสียแล้ว ที่ “แทงม้าตัวเดียว” ยึดบัญชีวัคซีนหลักคือ “แอสตราเซเนกา” (ซิโนแวคไม่ใช่ แต่น่าจะเรียกเป็นวัคซีน “ขัดตาทัพ” มากกว่า) ที่ต้องรอคอย ทำให้ฉีดวัคซีนล่าช้าจนเศรษฐกิจพินาศยับเยิน ไม่รู้จะกอบกู้ได้อย่างไร และก็เป็นวัคซีนที่มีข้อตำหนิติเตียนเป็นอันมาก ถึงขั้นประกาศระงับใช้ในหลายประเทศ

ความผิดพลาดเรื่องนี้มาจากการเปิดปากสารภาพของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ณ 20 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมาเอง ที่ว่า “รัฐบาลสั่งวัคซีนเข้ามาน้อย เพราะเราคุมโควิดได้ดีมาก จึงเอามาแค่พอจำเป็น ไม่อยากให้ประชาชนเสี่ยง ไม่ใช่เพราะเราจองช้าหรือน้อยเกินไป ทุกอย่างพัฒนาตามสถานการณ์”

ลิงโลดในชัยชนะเร็วเกินไป ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป และยึดติดกับวัคซีนตัวเดียวมากเกินไป การบริหารงานผิดพลาด เต็มไปด้วยข้อแก้ตัวมากมาย

บริหารโควิดแบบแป้ง ๆ มีแต่คำมั่นสัญญามากมาย แต่น่าสังเกตว่า ไม่มีการระบุไทม์ไลน์ และไม่มีรายละเอียดของ “แผนปฏิบัติการ” หรือ “แอคชั่น แพลน” แต่อย่างใด

คุณหมออภิสมัย ผู้ช่วยโฆษกศบค.แถลงว่าจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนในกทม. 50 เขต ให้ได้วันละ 60,000 ราย ฟังเผิน ๆ ดูเหมือนจะดี แต่ถ้าทราบความจริงของการฉีดวัคซีนทั่วประเทศ แล้วจะมีคำถามทันทีว่าทำได้เหรอ

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาลแถลงยอดฉีดวัคซีนทั่วประเทศ ณ วันที่ 4 พ.ค. 2564 มียอดรวม 1,573,075 โดส คิดอัตราฉีดวัคซีนเฉลี่ยแค่วันละ 23,834.46 โดสเอง ครอบคลุมประชากรในราวร้อยละ 1.74 เท่านั้น

มันไหวหรือครับคุณหมออภิสมัย เพราะยอดฉีดทั้งประเทศยังอยู่แค่วันละ 2.3 หมื่นโดส แต่คุณหมอจะฉีดในกทม.ให้ได้ถึงวันละ 6 หมื่นราย

พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งตอนนี้ตั้งตัวเองเป็นผอ.ศบค.เขตพื้นที่กทม.อีกตำแหน่งหนึ่งแล้ว ยิ่งเยอะเข้าไปใหญ่ แถลงข่าวเมื่อวันที่ 5 พ.ค. ตั้งเป้าจะฉีดวัคซีนให้ได้เดือนละ 15 ล้านโดส เท่ากับวันละประมาณ 5 แสนโดสเลยทีเดียว

วันว.เวลาน.จะเริ่มเมื่อไหร่ก็ไม่บอกกันเช่นเคย แต่ถามว่ามันไหวหรือครับ จากฉีดจริงได้แค่วันละ 2.3 หมื่นโดส จะปีนเขาหิมาลัยไปฉีดกันถึงวันละ 5 แสนโดส แผนการจะขยายกำลังฉีดวัคซีนไปยังโรงพยาบาลเอกชนอย่างไร ก็ไม่เห็นการบอกกล่าว

บริหารโควิดแบบแป้ง ๆ ยิ่งนับวันยิ่งเสื่อมถอยศรัทธา ไม่เหลือความหวังใด ๆ ให้ประชาชนเอาเสียเลย

Back to top button