ลุ้น 1,600 รอบที่ 4

* หากมองการขยับตัวของดัชนีโดยอิงกับปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน พร้อมกับประเมินท่าทีของฝรั่งหัวทองที่เน้น “เคาะสั้น ขยันซอย” ย่อมเป็นเกมหุ้นที่สร้างความอึดอัดใจให้กับกองเชียร์ขาลุยไม่มากก็น้อย เพราะหลายคนมีความเชื่อส่วนตัวลึก ๆ ว่า หุ้นไทยควรขึ้นไปสร้างฐานบริเวณ 1,600 จุดเสียทีนั้น กลายเป็นประเด็นหลักที่น้องโมต้องเม้าท์ถึงเรื่องนี้มากหน่อยเจ้าค่ะ


เจาะกระดาน : โมนิก้าและทีมงาน

* หากมองการขยับตัวของดัชนีโดยอิงกับปัจจัยภายนอก และปัจจัยภายใน พร้อมกับประเมินท่าทีของฝรั่งหัวทองที่เน้น “เคาะสั้น ขยันซอย” ย่อมเป็นเกมหุ้นที่สร้างความอึดอัดใจให้กับกองเชียร์ขาลุยไม่มากก็น้อย เพราะหลายคนมีความเชื่อส่วนตัวลึก ๆ ว่า หุ้นไทยควรขึ้นไปสร้างฐานบริเวณ 1,600 จุดเสียทีนั้น กลายเป็นประเด็นหลักที่น้องโมต้องเม้าท์ถึงเรื่องนี้มากหน่อยเจ้าค่ะ

* เนื่องจากการเคลื่อนตัวของดัชนีออกไปในโทน W-Shape เป็นเวลาร่วม 2 เดือน และเมื่อรวมเที่ยวนี้เข้าไปอีกครั้งจะเห็นว่า นี่เป็นการขึ้นมาทดสอบรอบที่ 4 และมีความเป็นไปได้ที่ดัชนีจะวิ่งขึ้นไปยืนเหนือแนวต้านดังกล่าวในไม่ช้า ซึ่งเป็นผลมาจากการฉีดวัคซีนมีความคืบหน้าที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผสานกับมีการอัดฉีดเงินรอบใหม่เข้ามาในระบบ จึงทำให้กำลังซื้อเริ่มดีขึ้นอีกรอบไงล่ะคะ

* ประกอบกับพี่ใหญ่ของเอเชียอย่างประเทศ “จีน” ประกาศศักดาในการบริหารจัดการโควิด-19 พร้อมกับจัดคอนเสิร์ตใหญ่ซึ่งมีคนเข้ามาร่วมงานคับคั่ง มันเป็นภาพที่ทำให้ “โมนิก้า” เชื่อเหลือเกินว่า หากไทยบริหารจัดการได้ดีเหมือนพี่ใหญ่แห่งเอเชีย น่าจะทำให้ทุกภาคธุรกิจกลับมามีชีวิตชีวา และการขึ้นมายืนปิดที่ 1,585.03 จุด บวกไป 13.12 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 9.38 หมื่นล้านบาท น่าจะเป็นสัญญาณที่ย้ำว่า หุ้นไทยพร้อมขึ้นกระมัง!

* เหมือนกับการขยับตัวของ SAWAD ก็กลายเป็นหุ้นสุดเลิฟที่มองกี่ครั้ง ก็ไม่เคยเบื่อแม้แต่ครั้งเดียว เพราะของมันเห็นกันทนโท่ว่า ปีนี้เป็นปีทองของธุรกิจ แถมบริษัทลูกอย่าง BFIT ก็อยู่ในช่วงลุยขยายงานเต็มตัว “โมนิก้า” ถึงไม่วอรี่กับการอ่อนตัวของหุ้นสองตัวนี้สักเท่าไหร่ ยิ่งเห็นหุ้นแม่ยืนปิดที่ 82.50 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 2.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 1.07 พันล้านบาท ขณะที่ตัวลูกยืนปิดที่ 49.50 บาท ลบไป 1.75 บาท หรือลงไป 3.40% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 381 ล้านบาท ช่างเอื้อต่อการเล่นรอบเสียจริง ๆ นะจ๊ะ

* เช่นเดียวกับในรายของ PTTGC ทะยานขึ้นทำนิวไฮในรอบ 2 ปี ด้วยการยืนปิดที่ 69.50 บาท บวกไป 1.75 บาท หรือขึ้นไป 2.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.68 พันล้านบาท ท่ามกลาง BV 63 บาทแบบนี้ “โมนิก้า” ถึงกล้าพูดทันทีว่า หุ้นยังมีแก๊ปไปต่ออีกเพียบ เพราะถ้าอิงตามหลักบัญชีที่สอนกันมาตั้งแต่โบราณกาล PBV ที่เหมาะสมควรอยู่ในระดับ 1.50 เท่า ซึ่งคำนวณคร่าว ๆ ได้แถว ๆ 94.50 บาท จึงเป็นอีกหนึ่งหุ้นที่น่าจับตาเจ้าค่ะ

* อีกตัวที่ “น่ารัก น่าลุ้น” ในมุมของพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และน่าจะได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของกำลังซื้อ คงพุ่งเป้าไปยังหุ้น HMPRO เป็นรายถัดมาในทันที เพราะการยืนปิดที่ระดับ 13.90 บาท ลบไป 0.10 บาท หรือลงไป 0.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 220 ล้านบาท ย่อมเป็นจุดที่เดี๊ยนให้ความสนใจมากเป็นพิเศษ ผสานกับกรอบเดิมที่เล่นกันเป็นประจำอยู่แถว 14 บาท จึงเป็นจุดที่เย้ายวนใจเหลือเกินพะยะค่ะ

* มุมข่าวดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องหันมามองหุ้น ORI เพื่อเสนอเป็นทางเลือกให้กับแฟนพันธุ์แท้ “เฮียโด่ง”  กันสักหน่อย เพราะการยืนปิดที่ระดับ 9.15 บาท ลบไป 0.30 บาท หรือลงไป 3.15% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 100 ล้านบาท มันเป็นระดับที่เอื้อให้คนที่เน้นลงทุนระยะยาวเข้าซื้อเก็บไว้ในพอร์ตเสียเหลือเกิน ยิ่งมองในมุมของค่า PE 8.70 เท่า ยิ่งทำให้หุ้นตัวนี้แจ่มแมวอย่าบอกใครเชียวล่ะ

* ส่วนรายที่ดันกันมันหยด คงต้องมองไปที่ SGF หลังทะยานขึ้นมาปิดที่ระดับ 1.29 บาท บวกไป 0.13 บาท หรือขึ้นไป 11.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 330 ล้านบาท กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่นักเล่นขาลุยกระโจนใส่ไม่ยั้ง ส่วนจะไปได้ไกลขนาดไหน? เดี๊ยนอยากให้แฟนคลับลองพิจารณาจากค่า PE 37 เท่าเป็นที่ตั้ง ต่อจากนั้นประเมินโอกาสในการทำกำไรตลอดปี 2564 จะดีกว่าปีก่อนขนาดไหน? คุณ ๆ ท่าน ๆ ก็จะเห็นเองว่า “เสี่ยง” หรือ “ไม่เสี่ยง” จ้า!

* ในเมื่อชอบลุ้นกันทั้งที “โมนิก้า” อยากให้แฟนคลับหันมาดูหุ้น UKEM กันสักหน่อย เพราะการไต่เพดานขึ้นมาเรื่อย ๆ จนล่าสุดยืนปิดที่ 1.24 บาท บวกไป 0.04 บาท หรือขึ้นไป 3.30% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 123 ล้านบาท โดยค่า PE อยู่ที่ระดับ 14.50 เท่า มันกลายเป็นสตอรี่ที่น่าสนใจสุด ๆ เพราะตัวเลขสำคัญทางการเงินดังกล่าวทำให้รู้ว่า ราคาระดับนี้ลงทุนได้สบาย ๆ แถมได้รับผลดีโดยตรงจากปิโตรเคมีฟื้นตัวแบบนี้..ลุยโลดเลยเจ้าค่ะ

Back to top button