พิษ SSI ทำ 3 แบงก์ใหญ่มาร์เก็ตแคปวูบ 2 หมื่นล้าน

SCB,KTB,TISCO 3 แบงก์โดนพิษหนี้ SSI ฉุดมาร์เก็ตแคปวูบราวราว 2 หมื่นล้าน บล.ฟินันเซียชี้ SCB และ KTB ประเมินกรณีหากต้องตั้งสำรองฯเพิ่มเติมเป็น 100% คาดว่าจะมีผลกระทบต่อหุ้นราว 1.80 บาท และ 0.45 บาทตามลำดับ ด้านบล.ธนชาตคาดส่งผลกระทบต่อคาดการณ์กำไร TISCO ปี 2015 มากที่สุดถึง 32% และกระทบคาดการณ์กำไร KTB และ SCB ปี 2015 อยู่ 22% และ 13% ตามลำดับ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ประเด็นข่าวของ บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) หรือ SSI ที่ต้องปิดโรงงานถลุงเหล็กใน UK ซึ่งมีผลต่อเจ้าหนี้ที่ปล่อยกู้รายใหญ่ 3 ราย คือธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB  เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ SSI เฉลี่ย 20,000 ล้านบาท, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของ SSI เฉลี่ย 20,000 ล้านบาทและ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO เป็นเจ้าหนี้ของ SSI วงเงินสินเชื่อ 4,000 ล้านบาท

สำหรับหนี้ทั้งหมดนี้ได้มีการตั้งสำรองไปแล้วทั้งหมดกว่า 50% ของมูลหนี้ทั้งหมด (4.4 หมื่นล้านบาท) ในกรณีที่โรงงานถูกปิดลง 40% กว่าที่เหลือจะต้องตั้งสำรองทั้งหมดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับ ธปท. ทั้งนี้หากต้องตั้งสำรองส่วนที่เหลือเพิ่มอีก

อย่างไรก็ตาม ยังไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากหนี้ดังกล่าวมีหลักประกันครบและยังไม่เป็น NPL หากมองผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในหุ้น 3 ตัว หุ้นตัวที่โดนหนักสุดคือ TISCO เนื่องจากกำไรแต่ละปีอยู่ที่ไม่เกิน 4.5พันล้านบาท การสำรองทั้งจำนวนคงไม่ดีแน่สำหรับในระยะสั้น

ขณะที่เมื่อเทียบกับ SCB และ KTB ซึ่งมีกำไรต่อปีหลายหมื่นล้านบาท การตั้งสำรองจึงไม่มีผลกระทบมากนัก อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวจะมีผลกระทบ Sentiment ต่อหุ้นกลุ่มแบงค์ให้ปรับตัวลง

หากมองในแง่นักลงทุนสถาบัน (กองทุนในประเทศ) มีแนวโน้มที่จะทำการ Short หุ้น 3 ตัวที่มีปัญหาออกมา แต่หากราคาลงมาพอสมควรเชื่อว่าจะมีการซื้อกลับคืน และในทางกลับกันต้องมาพยุงตัวอื่นอย่าง KBANK, BBL และ TMB

โดยหาก SCB ลง 1 บาท มาร์เก็ตแคปตลาดจะหายไป 3,394.43 ล้านบาท ลง 1 บาท กดดัน SET ประมาณ 0.000359 จุด

ส่วน KTB ลง 1 บาท มาร์เก็ตแคปตลาดจะหายไป 13,976.06 ล้านบาท ลง 1 บาท กดดัน SET ประมาณ 0.001478 จุด

และ TISCO ลง 1 บาท มาร์เก็ตแคปตลาดจะหายไป 800.62 ล้านบาท ลง 1 บาท กดดัน SET ประมาณ 0.000084 จุด

ทั้งนี้ หากรวมมาร์เก็ตแคปทั้ง 3 ธนาคาร ในกรณีที่ราคาปรับตัวลงไป 1 บาท จะทำให้มาร์เก็ตแคปตลาดหายไปประมาณ 2.6 หมื่นล้านบาท และมีผลต่อดัชนี 0.001921 จุดโดยประมาณ

 

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์(21 ก.ย.) กลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะธนาคารเจ้าหนี้ได้แก่ SCB, KTB และ TISCO จะได้รับแรงกดดันอีกครั้งหลัง SSI ประกาศหยุดผลิตเหล็กแบน โดยราคาหุ้น TISCO ที่ลงมาแล้วราว 6% จากวันที่ออกรายงานน่าจะรับข่าวนี้แล้ว ส่วน SCB และ KTB ประเมินในกรณีหากต้องตั้งสำรองฯเพิ่มเติมเป็น 100% คาดว่าจะมีผลกระทบต่อหุ้นราว 1.80 บาท และ 0.45 บาทตามลำดับ

ขณะที่บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์(21 ก.ย.) กรณี SSI UK ไม่สามารถชำระหนี้ได้จะทำให้ KTB SCB และ TISCO ต้องกันสำรองเพิ่ม 1.86 หมื่นล้านบาท ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์กำไร TISCO ปี 2015 มากที่สุดถึง 32% และกระทบคาดการณ์กำไร KTB และ SCB ปี 2015 อยู่ 22% และ 13% ตามลำดับ

 

อนึ่ง ล่าสุด (18 ก.ย.) SSI  แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯว่า บริษัทได้หยุดผลิตเหล็กแท่งแบน (slab) ชั่วคราวจากโรงงานเอสเอสไอทีไซด์ ของธุรกิจโรงถลุงเหล็กในอังกฤษ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อปรับปรุงการดำเนินงานและฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทให้ดีขึ้น

โดยการหยุดผลิตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อรายได้ของโรงถลุงในส่วนการจำหน่ายเหล็กให้กับบุคคลภายนอก (สัดส่วนดังกล่าวคิดเป็น 52% ของยอดขายรวมช่วงครึ่งแรกปี 2558) แต่ไม่กระทบต่อการผลิตธุรกิจเหล็กแผ่นรีดร้อนของบริษัท เพราะมีวัตถุดิบเหล็กแท่งแบนสำรองอยู่ และสามารถจัดหาวัตถุดิบราคาถูกในตลาดได้

การตัดสินใจหยุดผลิตเหล็กแท่งแบนดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของแผนปรับโครงสร้างธุรกิจเพื่อปรับปรุงการดำเนินงาน และฐานะการเงินของกลุ่มบริษัทให้ดีขึ้น ซึ่งบริษัทคาดว่าจะสามารถแจ้งความคืบหน้าการหารือดังกล่าวมายังตลาดหลักทรัพย์ฯได้ภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้

อนึ่ง จากการตรวจสอบงบการเงิน SSI (สิ้นสุด 30 มิถุนายน 2558) พบว่า มีรายได้รวม 22,921 ล้านบาท กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี (EBITDA) ติดลบ 4,624 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 6,261 ล้านบาท ส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ 1,771 ล้านบาท หนี้สินรวม 74,312 ล้านบาท และมีเงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด 140 ล้านบาท

ขณะที่ ช่วงเช้าวันนี้ (21 ก.ย.) ตลท. ขึ้น H หุ้น SSI รอบเช้าวันนี้ เหตุอยู่ระหว่างรอเปิดเผยสารสนเทศสำคัญ กรณีปิดโรงงานถลุงเหล็กในอังกฤษ

 

*ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button