PROEN ลุยธุรกิจ Blockchain-ต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ คาดดันรายได้โตก้าวกระโดด 3-5 ปี

PROEN เข้าร่วมในการเป็น "Validator Node" ในระบบ Blockchain ของ BitKub พร้อมเปิดแผนต่อยอดเทคโนโลยีใหม่ คาดดันรายได้โตก้าวกระโดด 3-5 ปี


นายกิตติพันธ์ ศรีบัวเอี่ยม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ PROEN เปิดเผยว่า บริษัทฯได้เข้าร่วมในการเป็น “Validator Node” ในระบบ Blockchain ของ BitKub โดยในเฟสแรกของ BitKub Chain ได้ใช้ Consensus Algorithm แบบ Proof of Authority (PoA) โดยมีองค์กรที่ร่วมเป็น Validator Node แล้ว ดังนี้

1.บริษัท ทีพีซีเอส จำกัด (มหาชน) TPCS  2.บริษัท สยามราช จำกัด (มหาชน) SR 3.บริษัท โปรเอ็น คอร์ป จำกัด (มหาชน) PROEN 4.บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (มหาชน) ANAN 5.บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) SIS 6.บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) SPC 7.บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด 8.บริษัท เก็ทลิงส์ (ไทยแลนด์) จำกัด 9.บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จํากัด 10.SIX Network PTE. Ltd. 11.Smart Contract Blockchain Studio โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มทำธุรกรรมได้ภายในไตรมาส 2/2564

ทั้งนี้ การที่ PROEN ได้เป็น Validator Nodes ในระบบ Blockchain ของ BitKub  จะทำหน้าที่ในการเก็บข้อมูลรูปแบบฐานข้อมูล (Database) เป็นระบบที่ไม่มีศูนย์กลางแต่เชื่อถือได้สูงสุด ซึ่งการทำรายการของธุรกรรม “บัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์” หรือที่เรียกกันว่า Ledger และถูกเก็บไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ ที่เรียกว่า Node และแต่ละ Node จะมีสำเนาบัญชีธุรกรรมของตัวเอง โดยบัญชีนี้จะถูก “กระจายศูนย์” ทำสำเนาไปอยู่ในทุกๆ Node ในเครือข่าย และข้อมูลเหล่านี้จะได้รับการยอมรับ และยืนยันจากเจ้าของ Node เพื่อความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ โดยไม่ต้องผ่านคนกลาง  ซึ่ง PROEN ก็เป็นหนึ่งใน Node ของการทำธุรรรมของผู้ใช้บัญชีธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งระบบคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ของ PROEN จะทำหน้าที่ตรวจสอบและยืนยันข้อมูลได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย

โดยการเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งในองค์กร Validator Node จะช่วยให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยสนใจในการทำธุรกิจผ่านระบบ Blockchain มากขึ้น เนื่องจากการทำธุรกรรมจะมีต้นทุนที่ไม่สูง ขณะเดียวกันจะส่งผลดีกับ PROEN เพราะจะทำให้ความต้องการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น สนับสนุนธุรกิจ Internet Data Center – Cloud Service ของบริษัทฯ ให้มีรายได้มากขึ้น ซึ่งแนวโน้มของกลุ่มลูกค้า Exchange Platform ที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล มีการขยายตัวสูงและรวดเร็ว

“แผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ เน้นการเติบโตของธุรกิจด้านเทคโนโลยี ที่มีลักษณะการสร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) อยู่ในธุรกิจหลักของบริษัทฯ จากการต่อยอดด้วยเทคโนโลยีใหม่ เช่น ธุรกิจคลาวด์ (Cloud Service) และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ Internet Data Center ที่ใช้เป็นพื้นฐานการให้บริการทางการเงินในรูปแบบ DeFi (Decentralized Finance) ซึ่งเป็นบริการทางการเงินโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการควบคุม และการดำเนินการ โดยจะทำงานอัตโนมัติบนเครือข่าย Blockchain ซึ่งจะเป็น New S-Curve สามารถสร้างรายได้ใหม่ให้กับบริษัทฯ ในอนาคต ซึ่งมั่นใจว่าจะเติบโตได้ก้าวกระโดด และต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีข้างหน้า”  นายกิตติพันธ์ กล่าว

อนึ่งผลการดำเนินงานในงวดไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 9.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 99.03% จากงวดเดียวกันปีก่อน  ส่วนรายได้รวมอยู่ที่ 203.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.24% จากงวดเดียวกันปีก่อน  เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 กลุ่มบริษัทมีรายได้จากการขายในส่วนของธุรกิจ ICT เพิ่มขึ้นถึง 187.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนจากฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนท์ หรือเกมออนไลน์ ที่มีการขยายการลงทุนสูงในช่วง สถานการณ์ โควิด-19 จากการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคน

โดยการทำงานในรูปแบบของ Work From Home ทำให้ความต้องการใช้ระบบออนไลน์เพิ่มขึ้น อีกทั้งผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องเพิ่มพื้นที่ในการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น เพื่อรองรับธุรกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ อีคอมเมิร์ซ อีเพย์เมนท์ หรือเกมออนไลน์ ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ ส่งผลให้ธุรกิจศูนย์จัดเก็บศูนย์ข้อมูล (Internet Data Center) มีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ขณะที่ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง สำหรับงานโทรคมนาคม และสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยบริษัทฯได้มีการรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ตามความสำเร็จของงานที่เหลืออยู่ เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้รายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอีกด้วย

Back to top button