โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” NRF เป้า 11.20 บ. มองกำไรครึ่งปีหลังเด่น รับยอดขายพุ่งนิวไฮ

โบรกฯ เชียร์ “ซื้อ” NRF มองผลงานไตรมาส 1/64 ทำจุดต่ำสุดไปแล้ว คาดกำไรปกติไตรมาส 2/64 ฟื้นตัวแกร่ง ผลครึ่งปีหลังโตกระฉูด รับไฮซีซั่น หนุนยอดขายพุ่งนิวไฮ วางเป้า 9.30-11.20 บ.


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น บริษัท เอ็นอาร์ อินสแตนท์ โปรดิวซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ NRF ผู้บริหารแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2564 จะดีกว่าไตรมาสแรกอย่างมีนัยสำคัญ และดีกว่าช่วงเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High Season ยาวไปจนถึงไตรมาส 3 ปี 2564 ขณะโควิด-19 ระลอกใหม่ยังไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานโดยตรง เนื่องจากออเดอร์สินค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยพบว่า บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ (20 พ.ค.) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น NRF ด้วยราคาเป้าหมายพื้นฐานปี 2565 ที่ 11.20 บาท โดยราคาหุ้นสมควรปรับตัวเพิ่มขึ้นรับการฟื้นตัวของกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วคาดในไตรมาส 2 ปี 2564 และการเติบโตของธุรกิจอาหารที่ทำจากพืช

ทั้งนี้ ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2564 เป็นไตรมาสที่ต่ำที่สุดแล้ว เบื้องต้นประมาณการกำไรหลักในไตรมาส 2 ปี 2564 เติบโตที่ประมาณ 40-45% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ทั้งนี้ด้วยสมมติฐานค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่เป็นจำนวนเงินที่ทรงตัว

รวมทั้งคาดยอดขายจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในไตรมาส 2 ปี 2564 (เพิ่มขึ้นราว 60% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ทำให้เกิดแรงหนุนจากการประหยัดขนาด โดยยอดขายคาดว่าจะสามารถทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติกาลในไตรมาส 2 ปี 64 จะมีแรงหนุนจากยอดขายธุรกิจอาหารพื้นเมืองที่จัดส่งล่าช้า (เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน), ยอดขายธุรกิจ e-commerce จากส่วนแบ่งของ Prime Labs ที่เข้ามาเต็มไตรมาส, ยอดขายธุรกิจสินค้า functional และยอดขายธุรกิจอาหารที่ทำจากพืช โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะทรงตัวในระดับสูงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนที่ 32.5% ได้ในไตรมาส 2 ปี 2564 เพิ่มขึ้น170bps เมื่อเทียบจากปีก่อน

สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ผลการดำเนินงานของธุรกิจเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น เนื่องจากยอดขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 10% เมื่อเทียบจากครึ่งปีแรก คาดว่ายอดขายจะทาสถิติใหม่ต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3 ปี 2564 และไตรมาส 4 ปี 2564 ธุรกิจอาหารที่ทาจากพืชในสหราชอาณาจักรจะกลับมาเทิร์นอะราวด์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 และคาดว่าจะมีรายได้จากผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของกัญชาและกัญชงในไตรมาส 4 ปี 64

ส่วน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (19 พ.ค.) ว่า NRF กำไรปกติไตรมาส 1 ปี 2564 ดีกว่าคาดมาจากยอดขาย Plant-based ในสินค้า Konjac ที่ดีกว่าคาด และการรวมงบการเงินกับ Prime Labs หลังซื้อมาในเดือนก.พ. มี GPM ที่ดีกว่าภาพรวมบริษัท ขณะผลกระทบตู้คอนเทนเนอร์ขาดในไตรมาส 1 ปี 2564 เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนในไตรมาส 2 ปี 2564 และคาดกลับไปสู่ระดับที่จัดการได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2564 ทำให้บริษัทยังมั่นใจคงเป้ายอดขาย Ethnic food (82% ของยอดขาย) โตสูง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อนในปี 2564 จากทั้งออเดอร์ที่ยังโต 2 หลัก และได้เพิ่มช่องทางขายผ่าน Distributors ใหม่กว่า 20 เจ้าทั้งเอเชีย, ยุโรป และ สหรัฐฯ

โดยไตรมาส 2 ปี 2564 ได้ลงทุนใน 3 บริษัท ได้แก่ (1) SOL Trading ทำอาหารเสริมคอลลาเจนขายบน Amazon (2)Koncious Food ทำ Plant-based อาหารทะเล และ (3) Wicked ทำ Plant-based ครบวงจร โดยคาดจะเป็น Upside บนกำไรราว 5-10% และเกิด Synergy เพิ่มเติมอาทิเช่น กับบริษัท Wicked จะมีการตั้ง JV กันเพิ่ม เพื่อทำแบรนด์ Plant-based ร่วมกัน และ Wicked จะย้ายการผลิตทั้งหมดมาอยู่กับ NRF จากต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า เป็นต้น อีกทั้งยังมีดีล M&A อีกอย่างน้อย 2-3 ดีลรอการเจรจา คาดเข้ามาหนุนกำไรต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2564

นอกจากนั้นคาดจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกของโรงงาน Plant & Bean ที่ UK ดีขึ้นเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ในทุกไตรมาสตลอดช่วงที่เหลือของปี ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 จะมีการย้ายการผลิตใน UK มาโรงงานใหม่ทั้งหมด ลดการขาดทุนจาก Fixed cost ที่แบกอยู่ลงอย่างมีนัยยะ, ไตรมาส 3 ปี 25654 เปิดดำเนินงานได้เต็มรูปแบบ พร้อมมีกำไรได้ในไตรมาส 4 ปี 2564 ด้วยออเดอร์จากลูกค้าชั้นนำของโลกอย่าง Unilever, Nesley และ Quorn อีกทั้งมีแผนขยายโรงงาน Plant-based เพิ่มเติม ทั้งในจีนช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 และในไทยไตรมาส 2 ปี 2565 ซึ่งจะเป็น Growth driver สำคัญให้บริษัทในปี 2565-2566 ต่อไป คงคำแนะนำ “ซื้อ” NRF ราคาเป้าหมาย 11 บาท

ด้าน บล.โนมูระ พัตนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (21 พ.ค.) ว่า มีมุมมอง Slightly Positive ต่อการลงทุนจัดตั้งโรงงานผลิตโปรตีนจากพืชร่วมกับเครือ PTT เนื่องจากเรามองว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างการเติบโตของกำไรในระยะยาวให้กับ NRF และการร่วมทุนกับบริษัทในเครือ PTT จะช่วยเพิ่ม Synergy effect โดยสามารถนำสินค้าโปรตีนจากพืชส่วนหนึ่งไปขายให้กับร้านในเครือ PTT เช่น โอ้กะจู๋ ได้

ทั้งนี้คาดว่าถ้าดำเนินการผลิตได้เต็มปี 2566 กำไรปกติปี 2566 จะมี upside ราว 9-14 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 3% ของกำไรปี 2566 และทำให้ราคาเป้าหมายปี 2565 ของบล.โนมูระ พัตนสิน มี Upside อีก 0.25 บาท/หุ้น ทั้งนี้คาดกำไรปกติไตรมาส 2/64 จะกลับมาโตเด่นเมื่อเทียบจากปีก่อน และเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากคาดรายได้โตเด่น คาด GPM สูงขึ้น และส่วนแบ่งขาดทุนากบริษัทร่วมลดลง ทั้งนี้ยังคงคำแนะนำ NEUTRAL ด้วยราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 9.30 บาท/หุ้น ถึงแม้แนวโน้มการเติบโตกำไรปกติในระยะยาวที่โตเด่น 49% เฉลี่ยต่อปี (CAGR ปี 2564-2566) แต่มองว่าราคาหุ้นตอบรับปัจจัยบวกกล่าวไปแล้ว

Back to top button