เมื่อวิญญาณร้ายตามหลอกหลอน…

บรรยากาศการลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงตลาดทั่วโลก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนยังคงรอท่าทีการเคลื่อนไหวสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ “เฟด” เป็นหลักต่อไป


–ตามกระแสโลก–

 

บรรยากาศการลงทุนทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย รวมไปถึงตลาดทั่วโลก ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเหมือนยังคงรอท่าทีการเคลื่อนไหวสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ “เฟด” เป็นหลักต่อไป

โดยตลาดหุ้นไทยเรา ก็ยังเป็นหนึ่งในเหยื่อของ กับดักเฟด ต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากเราเป็นประเทศตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมักจะโดนผลกระทบจากเรื่องทุนต่างชาติไหลเข้า-ออกมากกว่าคนอื่น เป็นธรรมดาอยู่แล้ว

ซึ่งความกังวลต่อประเด็นตรงนี้ ได้รับการโหมกระแสเป็นอย่างดีจากการที่ค่าเงินของเกือบทุกสกุลในภูมิภาค ต่างพร้อมใจกันปรับตัวอ่อนลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่นับวันยิ่งแข็งค่าขึ้นตามตัวเลขเศรษฐกิจ

เรียกได้ว่า อะไรๆมันช่างประจวบเหมาะชวนให้คิดเสียเหลือเกินว่าเฟดต้องขึ้นดอกเบี้ยแน่ๆ

ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯโดยรวมในช่วงที่ผ่านมานั้น บ่งบอกถึงความกระเตื้องขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

โดยเฉพาะในส่วนของตัวเลขจากตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงตัวเลขจากภาคการผลิตที่แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการเชิงบวกของอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน และเป็นรูปธรรมมากขึ้น

 

อย่างไรก็ตาม มีอยู่หนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เฟดอาจต้องเลื่อนเวลาในการปรับขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน ซึ่งก็คือ ตัวเลขเงินเฟ้อปัจจุบันที่ดูจะยังไม่สามารถขยับเข้าใกล้เป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ที่ระดับ 2% ซักเท่าไหร่

หากว่ากันตามฝ่ายวิเคราะห์จากหลายสำนักทั่วโลก รวมถึงความเห็นจากเจ้าหน้าที่เฟดเองบางราย อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับราว 0.90-1.20% เท่านั้นเอง

นอกจากนี้ หากประเมินจากถ้อยแถลงของ เจเนต เยลเลน ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนที่แล้ว เห็นได้ชัดว่าเฟดทุ่มน้ำหนักต่อการคงอัตราดอกเบี้ย ไปที่ภาวะเศรษฐกิจโลกซึ่งเป็นปัจจัยนอกประเทศค่อนข้างมาก และ

ด้วยภาวะการณ์ปัจจุบันของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังคงชะลอตัวอยู่ ก็มีโอกาสจะทำให้เฟดอาจต้องพิจารณาเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไปถึงปีหน้าได้เหมือนกัน

แต่ถึงกระนั้นก็ตาม วันนี้ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่ค่อยมีความไว้วางใจกับเฟดซักเท่าไหร่นัก โดยวัดได้จากความผันผวนในเกือบทุกๆตลาดทั่วโลกอย่างเช่นที่เห็นอยู่ ณ ตอนนี้

ซึ่งนั่น ก็เป็นเพราะมันไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยนะซิว่า เฟดจะหันเข็มไปยังทิศทางไหนต่อไป

มิหนำซ้ำ ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือ PMI ภาคการผลิตของจีนที่เพิ่งประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก็ออกมาแบบสองแง่สองง่าม ไม่รู้จะเลือกตีความไปแบบไหนดี

 

เพราะขาหนึ่ง ตัวเลขที่ถูกจัดทำขึ้นโดยมาร์กิตร่วมกับไฉซิน บ่งบอกถึงภาคการผลิตของจีนกำลังหดตัว โดยดัชนี PMI รอบเดือนกันยายนหดตัวลงสู่ระดับ 47.20 ต่ำสุดในรอบ 6 ปีครึ่งทีเดียว

ส่วนอีกขาหนึ่ง ตัวเลข PMI ที่ถูกจัดทำโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน หรือ NBS แสดงให้เห็นว่า กิจกรรมภาคการผลิตของจีนมีการกระเตื้องขึ้น โดยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 49.80 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเกณฑ์ชี้วัดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

พอเป็นแบบนี้ มันเลยทำให้รู้สึกงุนงงพอสมควร เพราะแทนที่ตัวเลขจากทั้ง 2 สำนัก จะเคลื่อนไหวไปตามเทรนด์เดียวกัน คือไม่จำเป็นจะต้องเท่ากัน แค่ถ้าขึ้นหรือลงก็ขอให้ขึ้นหรือลงตามกัน แต่นี่ดันออกมาสวนทางกันซะงั้น

แต่เอาละครับ งานนี้ใครจะยึดตัวเลขของสำนักไหนเป็น “อินดิเคเตอร์” ไว้ทำนายอนาคต ก็ขอให้เป็นเรื่องของแต่ละคนจะชอบหรือถนัดแล้วกัน

ที่แน่ๆ “ผีร้ายเฟด” ตัวนี้จะตามรังควาน คอยจ้องจองล้างจองผลาญตลาดเงิน-ตลาดทุนของบรรดาประเทศตลาดเกิดใหม่ไปอีกนาน

Back to top button