ดาวโจนส์ปิดบวกรับจีนอัดฉีดสภาพคล่อง

ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดขยับขึ้นเมื่อคืนนี้ (5 ม.ค.) หลังจากมีรายงานว่าธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินมูลค่าราว 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเข้าสู่ระบบการเงินภายในประเทศ ซึ่งข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความตื่นตระหนกจากการที่ตลาดหุ้นจีนร่วงลงอย่างหนักก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน แม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงปรับตัวลดลงก็ตาม


สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิด (5 ม.ค.) ที่ 17,158.66 จุด เพิ่มขึ้น 9.72 จุด หรือ +0.06%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 4,891.43 จุด ลดลง 11.66 จุด หรือ -0.24% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,016.71 จุด เพิ่มขึ้น 4.05 จุด หรือ +0.20%

ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ว่า ธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินมูลค่า 1.30 แสนล้านหยวน หรือ 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เข้าสู่ระบบการเงินเมื่อวานนี้ เพื่อลดความตื่นตระหนกของนักลงทุน หลังจากที่ตลาดหุ้นจีนถูกกระหน่ำขายอย่างหนักจนเป็นเหตุให้ต้องใช้ระบบเซอร์กิต เบรกเกอร์ เพื่อลดความผันผวนของตลาด

เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงอย่างหนักหลังจากตลาดหุ้นจีนดิ่งลงอย่างรุนแรง อันเป็นผลมาจากข่าวด้านลบภายในประเทศ ซึ่งรวมถึงข่าวที่ว่าธนาคารกลางจีนได้ตัดสินใจไม่ขยายวงเงินสินเชื่อให้กับธนาคารไชน่า ดีเวลลอปเมนท์ แบงก์ ซึ่งเป็นธนาคารตามนโยบายของแบงก์ชาติจีน โดยการตัดสินใจดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่า ธนาคารกลางจีนมีเป้าหมายที่จะคุมเข้มนโยบายการเงิน

หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น แม้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังคงอ่อนแรงลง โดยหุ้นวาเลโร เอนเนอร์จี และหุ้นอ็อคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 1.6% อย่างไรก็ตาม ทรานส์โอเชียน และหุ้นเอนส์โค ร่วงลง 3.1%

หุ้นกลุ่มผู้ผลิตปืนรายใหญ่อย่าง สมิธ แอนด์ เวสสัน พุ่งขึ้น 11% และหุ้นสเติร์ม รูเจอร์ ทะยานขึ้น 6.8% หลังจากมีรายงานว่า ประธานาธิบดีบารัค โอบามาแห่งสหรัฐ เตรียมออกมาตรการควบคุมอาวุธปืน เพื่อลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากอาวุธปืน ด้วยการกำกับดูแลการวางจำหน่ายปืน และควบคุมการซื้อขายอาวุธที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

หุ้นวอล มาร์ท พุ่งขึ้น 2.4% เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อเก็งกำไรหลังจากหุ้นวอล มาร์ทร่วงหนักในปีที่แล้ว, หุ้นบริษัทผลิตรถยนต์รายใหญ่ของสหรัฐ รวมถึงหุ้นเจนเนอรัล มอเตอร์ ดิ่งลง 2.6% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายเดือนธ.ค.ที่น่าผิดหวัง ขณะที่หุ้นเดลฟี ออโตโมทีฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และหุ้นกู๊ดเยียร์ ไทร์ แอนด์ รับเบอร์ ต่างก็ร่วงลงกว่า 2.7%

ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาดูสถานการณ์ในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดมีรายงานว่า ทางการคูเวตเรียกตัวเอกอัครราชทูตกลับจากอิหร่าน หลังเกิดเหตุการณ์โจมตีสถานทูตซาอุดิอาระเบียในกรุงเตหะราน และสถานกงสุลในเมืองมาชฮัด ระหว่างที่กลุ่มผู้ประท้วงชาวอิหร่านได้ออกมาประท้วงซาอุดิอาระเบียที่ได้ประหารชีวิตนักโทษคดีก่อการร้าย 47 ราย รวมถึง นิมร์ อัลนิมร์ นักบวชนิกายชีอะห์ ซึ่งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประท้วงต่อต้านรัฐบาลเมื่อปี 2554

นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงตัวเลขจ้างงานเดือนธ.ค.จาก ADP, ข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค., ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย., ดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนธ.ค. และสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือนพ.ย.

Back to top button