ได้เวลาของปัจจัยพื้นฐานพลวัต 2016

การร่วงลงสู่จุดต่ำสุดของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย ที่สอดรับกับราคาน้ำมัน ทำให้ค่าพี/อีของตลาดหุ้นทั่วโลกดำดิ่งลงสู่จุดที่ต้องหันกลับมามองปัจจัยพื้นฐานของตลาดระลอกใหม่


วิษณุ โชลิตกุล

 

การร่วงลงสู่จุดต่ำสุดของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกรวมทั้งไทย ที่สอดรับกับราคาน้ำมัน ทำให้ค่าพี/อีของตลาดหุ้นทั่วโลกดำดิ่งลงสู่จุดที่ต้องหันกลับมามองปัจจัยพื้นฐานของตลาดระลอกใหม่

นักวิเคราะห์ระดับเซียนมีมุมมองว่า จากนี้ไปปัจจัยพื้นฐานและค่าพี/อีในอนาคต จะชี้ขาดราคาหุ้นในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญ เพราะการที่ค่าพี/อีของหุ้นจำนวนมากลงมาอยู่ในจุดต่ำอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนหุ้นพื้นฐานย่อมได้โอกาสที่โดดเด่นกว่ายามปกติ

ยามนี้คนที่เป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า ถือเป็นโอกาสทองอย่างยากจะหาได้ง่ายเหมือนยามปกติ เพราะหุ้นพื้นฐานนั้น มีแนวโน้มพี/อีแพงเกินจริงเสมอในยามปกติ

 ในสหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น เสียงเชียร์ให้เข้าซื้อหุ้นพื้นฐานแม้ว่าวันจันทร์หรืออังคารราคาหุ้นจะลงไปอีก ก็ถือว่ามีความเสี่ยงขาลงต่ำจนไม่มีนัยสำคัญอีกต่อไป

เช่นเดียวกับนักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นไทยที่มองว่า จะไม่มีต่ำกว่า 1,240 จุดอีกแล้ว 

 ดัชนี S&P500 ที่ระดับ 15 เท่าคือแนวรับของการซื้อระลอกใหม่ที่นักวิเคราะห์ในสหรัฐฯมอง เพื่อจะไปขายที่ระดับ 18-20 เท่าในอนาคต 

เหตุผลสำคัญของนักวิเคราะห์ที่ชี้ว่าถึงเวลาซื้อประกอบด้วย

-เศรษฐกิจสหรัฐฯห่างไกลจากภาวะถดถอย มีแต่จะฟื้นตัวอย่างปานกลาง และผลประกอบการบริษัทบลูชิพจะกำไรมากกว่าคาด หากตัดหุ้นพลังงานปิโตรเลียมออกไป

 -ภาวะความผันผวนทางการเงินและตลาดหุ้นจีน ไม่ได้สะท้อนภาพจริงของเศรษฐกิจรวมของจีนที่อย่างไรก็จะโตมากกว่าปีละ 6.5% ต่อไป แต่เป็นปัญหาเรื่องความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐจีนในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางเศรษฐกิจที่กระทบแรงทางอารมณ์ของตลาดมากกว่าปกติเท่านั้น

– ราคาน้ำมันอาจจะปรับตัวเป็นลงไปอีกในไตรมาสแรกของปี จนกว่าการลงทุนใหม่จะหยุดยั้ง และเริ่มปรับสมดุลของตลาดครั้งใหม่ จากนั้นจะเกิดภาวะขาขึ้นระลอกใหม่อย่างรวดเร็วอีกครั้ง อย่างช้าในช่วงครึ่งหลังของปีนี้

มุมมองข้างต้น สะท้อนว่า ขีดจำกัดขาลงของตลาดได้เริ่มเกิดขึ้นแล้ว แม้จะยังไม่นิ่ง ดังนั้น หากมีความอดทน และป้องกันตัวอย่างดี นักลงทุนสามารถที่จะหากำไรจากความอึดของตนเองในช่วงเดือนนี้ได้ และสัปดาห์นี้

การย้ายมุมมองจากสัญญาณเทคนิคเป็นพื้นฐานของตลาดและราคาหุ้น มีนัยสำคัญต่ออนาคตจากนี้ไปพอสมควร

หลายเดือนมานี้ คำว่าราคายุติธรรม และพื้นฐานของกิจการได้ถูกปัจจัยภายนอกคือ ราคาน้ำมันกับสินค้าโภคภัณฑ์ล้นเกิน การขึ้นดอกเบี้ยของเฟดฯ และความวุ่นวายของเศรษฐกิจในจีน รบกวน และครอบงำ จนอารมณ์ของตลาดเป็นขาลงและชวนเข้าสู่ภาวะหมีมากกว่ากระทิง ทั้งที่โดยพื้นฐานแล้วนี่คือการ “กลับสู่ความเป็นจริงของอาบูหะซัน” ในนิทานอาหรับราตรี

แม้ว่ายามนี้อารมณ์ของตลาดอาจจะยังไม่สงบนิ่งเพียงพอ แต่ต้องยอมรับว่า การปรับตัวลงแรงของตลาดหุ้นที่ไม่ยึดโยงเข้ากับภาวะเศรฐกิจโดยรวม เป็นความไม่สมเหตุสมผลอย่างหนึ่ง

ปี 2558 เศรษฐกิจไทยเติบโต 2.8% แต่ดัชนีตลาดร่วงลงไป 14% สะท้อนว่าราคาหุ้นในตลาดถูกเกินสมควร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติไหลออก แต่อีกส่วนหนึ่งเพราะราคาหุ้นต้นปี 2558 สูงเกินไปกว่าพื้นฐานมาก

ดังนั้นหากดัชนีตลาดปีนี้จะร่วงลงแรงต่อไปอีก ก็จะยิ่งเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลของตลาดและนักลงทุนอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น

แม้ว่าในหลายเดือนมานี้ ความลังเลใจของนักลงทุนในการหลบเลี่ยงเข้าสู่ตลาด ด้วยหลายเหตุผล การนั่งอยู่ริมทางรอให้สถานการณ์เหมาะเจาะค่อยเข้า น่าจะเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ปลอดภัยกว่า หากถือหลักการง่ายๆ ว่า กำไรน้อย ดีกว่าติดหุ้นยาว แต่ภายใต้สถานการณ์ใหม่นี้ เมื่อหุ้นร่วงหนักเข้าเขตขายมากเกินสมควร จากความกลัวอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และมีความไม่เชื่อมั่น เป็นนามธรรมชี้นำทิศทางการลงทุนกำลังเริ่มมีคำถามทั้งเชิงจิตวิทยาและเชิงกลยุทธ์อย่างมาก

ในอดีตที่ผ่านมา เวลาหุ้นปรับฐานยาว หรือพักฐานย่อย นักวิเคราะห์มักมีข้อสรุปว่า  การถดถอยแบบซึมยาวของดัชนีเป็นสิ่งที่เกินเลย เพราะผลประกอบการของหุ้นส่วนใหญ่ยังไปได้สวย ที่จะทำให้มูลค่าทางบัญชียังดีอยู่ต่อไป แต่เหตุผลดังกล่าวมักถูกหักล้างจากสถานการณ์ที่ตลาดถูกข่าวร้ายถล่ม และการขาดข่าวดีสนับสนุนต่อเนื่อง 

สถานการณ์ วอลุ่มซื้อขายประจำวันที่หดหายไปเป็นภาพที่เห็นได้ชัดในช่วงปลายปี 2558 ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่สัปดาห์ที่ผ่านมาสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มเปลี่ยนไปชัดเจน เพราะนักลงทุนรายย่อยเริ่มกลับเข้าในตลาดระลอกใหม่ แม้จะกล้าๆ กลัวๆ แต่ก็มีประสบการณ์ที่ช่ำชองมากกว่าเดิม

นี่ถือเป็นข่าวดี และสัญญาณที่เกิดขึ้น แม้ยังคงพร่ามัวอยู่บ้าง

ในยามตลาดขาขึ้น ระหว่างการพักฐานของหุ้น นักวิเคราะห์มักกล่าวว่า ความไม่เชื่อมั่น คือการสูญเสียโอกาสในการซื้อที่สำคัญ ถูกหมางเมินรุนแรงในหลายเดือนมานี้ เพราะประสบการณ์ตรงของนักลงทุนคือยังมองไม่เห็นถึงสัญญาณการจะฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้อย่างไร 

จังหวะหุ้นที่ร่วงหนัก มองจากมุมของการลงทุนในส่วนต่างราคาจะเห็นว่านี่คือการปรับราคาใหม่เข้าสู่ความมีเหตุมีผลมากกว่าเดิมอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างที่เราทราบกันดีว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อย เกิดจากใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติของมืออาชีพแบบผู้จัดการกองทุน หรือเทรดเดอร์ของพอร์ตโบรกเกอร์ต้องมีประจำตัวตลอด

ถึงวันนี้ ได้เวลาที่รายย่อยอันเป็นกลุ่มนักลงทุนหลักในตลาดจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาเป็นเอกภาพ ไม่ใช่เป็นเบี้ยหัวแตกแบบที่ผ่านมาตามยถากรรม

ที่ผ่านมาในปี 2558 นักลงทุนจ่ายค่าโง่ไปกันมากพอสมควรแล้ว ได้เวลาคือการคืนกำไรจากความเชื่อมั่นที่ไม่เลื่อนลอยเสียที

Back to top button