ตลาดน้ำมันกำลังจะคึกคักแต่ตลาดหุ้นจะเป็นอีกเรื่อง

ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างรุนแรงในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้เพราะความวิตกเกี่ยวกับน้ำมันจากอิหร่านทำให้เกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงหลังจากที่มีการยกเลิกมาตรการลงโทษต่ออิหร่านไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าจะมีแรงเทขายรุนแรงขนาดนั้น ก็มีนักวิเคราะห์ชื่อดังบอกว่า นักลงทุนควรจะซื้อน้ำมันที่ระดับนี้และให้ทำชอร์ตตลาดหุ้น


ราคาน้ำมันปรับตัวลงอย่างรุนแรงในตลาดเอเชียเมื่อวานนี้เพราะความวิตกเกี่ยวกับน้ำมันจากอิหร่านทำให้เกิดแรงเทขายอย่างรุนแรงหลังจากที่มีการยกเลิกมาตรการลงโทษต่ออิหร่านไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ถึงแม้ว่าจะมีแรงเทขายรุนแรงขนาดนั้น ก็มีนักวิเคราะห์ชื่อดังบอกว่า นักลงทุนควรจะซื้อน้ำมันที่ระดับนี้และให้ทำชอร์ตตลาดหุ้น

มาร์โค โคลาโนวิค หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์เชิงปริมาณและอนุพันธ์ทั่วโลกของเจพี มอร์แกน ที่เคยคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าจะตลาดจะปรับฐานอย่างรุนแรงในเดือนสิงหาคมกล่าวว่า ราคาน้ำมันน่าจะปรับตัวขึ้นและตลาดหุ้นกำลังจะซบเซาประมาณ 3%

ทฤษฎีของโคลาโนวิคมาจากการดูตัวอย่างในช่วงที่ผ่านๆเมื่อน้ำมันดิบแย่กว่าตลาดหุ้นมากเหมือนที่เกิดขึ้นในวันศุกร์ที่ผ่านมา ในแต่ละตัวอย่างในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาที่เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น น้ำมันจะกลับมาแก้แค้นในท้ายที่สุด

โคลาโนวิค คาดว่า ภายในปลายปี ราคาน้ำมันที่สมเหตุสมผลจะอยู่ที่ 45-50 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างเป็นไปได้ที่ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นสองเท่าเป็น 60 ดอลลาร์

บทวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระบุว่า ธีมสำคัญสำหรับปีนี้ จะอยู่ที่การปรับเปลี่ยนปัจจัยพื้นฐานอย่างแท้จริง ซึ่งสามารถสร้างสมดุลใหม่แก่ตลาดเพื่อที่จะสร้างตลาดกระทิงอีกครั้งโดยโกลด์แมน แซคส์คาดว่าจะเกิดขึ้นในปลายปี 2559 และคาดว่าราคาน้ำมันดิบสหรัฐจะรีบาวด์กลับไปอยู่ที่ 40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ก่อนเดือนกรกฎาคม

ถ้าอย่างนั้นอะไรกันแน่ที่อาจทำให้ราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น?

โคลาโนวิค กล่าวว่า สิ่งที่อาจเป็นแรงขับเคลื่อนน้ำมันคือ นักลงทุนทำชอร์ตมากเป็นประวัติการณ์ หรือนักลงทุนคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวลงต่อไป นอกจากนี้ การสร้างเสถียรภาพในตลาดเกิดใหม่หลายๆแห่งอาจทำให้ดีมานด์เพิ่มขึ้น และแนวโน้มที่ตลาดอาจเห็นผู้ผลิตน้ำมันตกลงลดซัพพลายในที่สุด ก็อาจจะหนุนราคาน้ำมันได้

โคลาโนวิค กล่าวว่า “คุณสามารถเห็นน้ำมันปรับตัวขึ้นหรือดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวลง หรือ ผสมกันทั้งสองทาง และคิดว่าในครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากอดีต และคิดว่าเราจะเห็นสองอย่างนั้นมาบรรจบกัน”

สำหรับในตลาดหุ้น มีพลังที่มีอิทธิพลมากกว่าในตลาดน้ำมันนอีก ซึ่งอาจส่งผลให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เข้าสู่ตลาดภาวะหมี

โคลาโนวิค กล่าวว่า ตัวกระตุ้นที่จะส่งผลให้ดัชนีปรับตัวลงคือทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งมีตั้งแต่ภาวะที่มีปัญหาเศรษฐกิจและเงินเฟ้อควบคู่กัน (stagflation) การถดถอยของกำไรหุ้นในดัชนีเอสแอนด์พี 500 การเปลี่ยนแปลงความเชื่อมั่นของนักลงทุน การชะลอตัวของจีน และการขึ้นดอกเบี้ยอย่างคงเส้นคงวาของธนาคารกลางสหรัฐ

ในกาประเมินของโคลาโนวิค ในช่วงที่ตลาดคึกคักและซบเซาในเวลา 50 ปีที่ผ่านมา มีทั้งหมด 20 วงจรที่มีลักษณะเหมือนกับตลาดในขณะนี้ ทั้งในแง่ของขนาดและระยะเวลา โดยตลาดภาวะกระทิงกินเวลาเฉลี่ย 4 ปี และดีดตัว 90% ในขณะที่ตลาดภาวะหมีกินเวลาเฉลี่ย 1 ปี และปรับตัวลงเฉลี่ย 33%

“หากตลาดกระทิงต้องจบลงในขณะนี้ ก็จะเหมือนกับในอดีต” โคลาโนวิค กล่าว “และมีโอกาส 50% มากกว่า 25%ที่ตลาดจะซบเซา” โคลาโนวิค กล่าว

เมื่อวานนี้ ราคาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส อินเตอร์มีเดียต (WTI) ปรับตัวลง 1.5% ลงไปอยู่ที่ 28.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ก่อนหน้านั้นลดลง 3.6% แตะระดับ 28.36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนน้ำมันดิบบเรนต์ยุโรปปรับตัวลง 1.6% เหลือ 28.47 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังจากที่ร่วงลงไป 4.4% เหลือ 27.67 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

น้ำมันทั้งสองเกรดเคลื่อนไหวในช่วงราคาที่ไม่เคยได้เห็นมาเลยนับตั้งแต่ปลายปี 2556 หลังจากที่ปรับตัวลงประมาณ 6% ในระหว่างการซื้อขายในตลาดสหรัฐเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา

อิหร่านซึ่งเป็นสมาชิกชาติหนึ่งของโอเปกพร้อมที่จะเพิ่มการส่งออกน้ำมันดิบประมาณ 500,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งทำให้ตลาดตื่นตระหนกแม้ว่า การกลับสู่ตลาดและการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันของอิหร่านน่าจะเป็นกระบวนการที่มีความเชื่องช้า

แมททิว แมคอินนิส นักวิเคราะห์ของสถาบันวิสาหกิจอเมริกา กล่าวว่า การล่อใจนักลงทุนต่างชาติให้เข้าไปยังตลดน้ำมันอิหร่านจะเป็นโครงการที่นานเป็นพิเศษ และโดยรวมแล้วจะกระทบและกดดันราคาน้ำมันในระยะใกล้อย่างแน่นอน

Back to top button