เจาะงบ 13 หุ้นทรงอิทธิพลตลาดหุ้นไทยเช็คอัพไซด์ เล่นต่อหรือเปลี่ยนตัวลงทุน

โบรกฯวิเคราะห์งบไตรมาส 4/58 และแนวโน้มธุรกิจของ 13 บจ.เด่นที่มีอิทธิพลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย พร้อมเช็คอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ระหว่างที่มีการทยอยรายงานงบไตรมาส 4/58 ของภาคการผลิตของหุ้นบางบริษัท นักวิเคราะห์ ASPS ได้ทำการประเมินผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่มีอิทธิพลต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET) ในเบื้องต้น พบว่ามีหุ้น 13 บริษัทที่มีความน่าสนใจ ขณะที่ ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจข้อมูลอัพไซด์ของราคาเป้าหมายที่นักวิเคราะห์ให้ไว้จากราคาปิดล่าสุด ณ วันศุกร์ที่ 29 ม.ค.59 ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้

 

– บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO (ราคาเป้าหมาย 44.5 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 เติบโตถึง 137% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน (แต่ลดลง 15% จากไตรมาสก่อน) เนื่องจาก spread ระหว่างยางมะตอยกับน้ำมันดิบเริ่มแคบลง แต่คาดปริมาณขายทำได้สูงสุดจากแรงหนุนของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก

นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากโครงการถนนยางมะตอยผสมยางพาราที่จะมีการของบประมาณพิเศษเพิ่มเติมอีก 1.5 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก TASCO มีส่วนแบ่งการตลาดกว่า 60% ส่วนปี 59 ตั้งเป้าปริมาณขายเติบโตกว่าปี 58 กว่า 18% ทั้งนี้ จากศักยภาพธุรกิจที่แข็งแกร่ง ราคาที่ลดลงมาจึงถือเป็นโอกาสในการลงทุน

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 33.25 บาท ลบ 2.00 บาท หรือ 5.67% มูลค่าซื้อขายที่ 1.92 พันล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 33.83%

 

บริษัท จีเอฟพีที จำกัด (มหาชน) หรือ GFPT (ราคาเป้าหมาย 11.65 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 เพิ่มขึ้น 6.8% จากไตรมาสก่อน (แต่ลดลง 5.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน) จากการส่งออกที่เพิ่มขึ้นแม้เป็นช่วง High season ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/59 อาจอ่อนตัวลง 25.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน เนื่องจากยังเป็นช่วง Low Season ของการส่งออก

ขณะที่ราคายังทรงตัว ส่งผลให้ทั้งปี 59 กำไรยังทรงตัวจากปี 58 จากภัยแล้งผลักดันให้ราคาต้นทุนอาหารสัตว์สูงขึ้น คาดทั้งปีจะเติบโตเล็กน้อย 2.5% ประกอบกับราคาปัจจุบันเกินกว่ามูลค่าพื้นฐานไปแล้ว จึงแนะนำให้ Switch ไปยังบริษัท น้ำตาลขอนแก่น จำกัด (มหาชน) หรือ KSL (ราคาเป้าหมาย 5.3 บาท) ที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ภัยแล้งเอลนิโญ

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 12.20 บาท บวก 0.20 บาท หรือ 1.67% มูลค่าซื้อขายที่ 22.04 ล้านบาท ราคาเกินมูลค่าพื้นฐาน

 

บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ BCP (ราคาเป้าหมาย 32.5 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ลดลง 91.5% จากไตรมาสก่อน และ 101.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ปัจจัยกดดันมาจากการตั้งสำรองด้อยค่าสินทรัพย์ (Impairment) และบันทึกขาดทุนจากสต็อกน้ำมัน ขณะที่ธุรกิจหลักนั้นกำไรที่ลดลงมาจากปริมาณการกลั่นที่ลดลง และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

แต่โดยรวมทั้งปี 58 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 504% ส่วนไตรมาส 1/59 คาดกำไรปกติจะลดลงจากการ Shutdown ซ่อมบำรุงโรงกลั่น 46 วัน ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรปี 59 ลง 13% คาดกำไรปกติลดลง 14.3% ทั้งนี้ แนะนำให้ Switch ไปยัง บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC (ราคาเป้าหมาย 5.9 บาท) ที่มีแนวโน้มกำไรโดดเด่นแทน

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 29.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.86% มูลค่าซื้อขายที่ 174.39 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 11.11%

 

บริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ERW (ราคาเป้าหมาย 5.3 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 พลิกจากขาดทุนในงวดที่แล้ว และเติบโตถึง 63% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยรายได้โรงแรมยังสามารถเติบโตได้ (แม้จะมีเหตุการณ์ระเบิดก็ตาม) จากการเปิดห้องพักใหม่ ส่วนแนวโน้มไตรมาส 1/59 คาดฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วง High Season คาดการณ์รายได้โรงแรมโต 7% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน โดยเชื่อว่าราคาหุ้นในปัจจุบันยังไม่สะท้อนกับการฟื้นตัวกลับมามีกำไร

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 3.86 บาท ลบ 0.02 บาท หรือ 0.52% มูลค่าซื้อขายที่ 21.49 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 37.31%

 

บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU (ราคาเป้าหมาย 17.5 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขาดทุนเพิ่มขึ้นจากงวดก่อนหน้า จากค่าใช้จ่ายพิเศษ และ หากตัดรายการพิเศษออก พบว่าผลการดำเนินงานปกติย่ำแย่เช่นกัน เนื่องจากธุรกิจถ่านหินมีกำไรลดลง (ทั้งเหมืองอินโดนีเซียและออสเตรเลีย) โดย คาดทั้งปี 58 ขาดทุนกว่า 1.27 ล้านบาท เทียบกับที่มีกำไร 2.68 พันล้านบาท ในปี 57

ส่วนแนวโน้มผลประกอบการปี 59 น่าจะพลิกกลับมากำไรได้ จากการรับรู้รายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจถ่านหิน อาจจะทำได้เพียงเท่าทุน หรือมีกำไรน้อย (จากราคาและปริมาณขายที่ลดลง)  จึงปรับลดประมาณการปี 2558 จากเดิม มีกำไรลงเป็นขาดทุน และปรับกำไรปี 59 ลง 70.8% ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีประเด็นความเสี่ยงจากการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์ (Impairment) เหมืองถ่านหิน เป็น Downside Risk ที่อาจเกิดขึ้นได้ ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำเพียงถือรับปันผลซึ่งมี Div. Yield ครึ่งปีสูงถึง 4.6% หรือ Switch ไปยังกลุ่มโรงกลั่น คือ IRPC

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 16.80 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 3.70% มูลค่าซื้อขายที่ 517.24 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 4.17%

 

บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU (ราคาเป้าหมาย 25 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 เติบโต 37.8% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 40.8% จากไตรมาสก่อน จากค่าใช้จ่ายพิเศษ ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานปกติเติบโตถึง 55% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่ลดลง 12% จากไตรมาสก่อน จากการแข่งขันที่รุนแรงของธุรกิจทูน่าในสหรัฐ

ส่วนไตรมาส 1/59 คาดผลการดำเนินงานทรงตัวจากไตรมาส 4/58 แต่โดยรวมปี 59 จะเติบโตถึง 26.3% จากธุรกิจในยุโรปที่ดีต่อเนื่อง และราคาวัตถุดิบที่อยู่ในระดับต่ำ รวมทั้งเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง ประกอบกับราคาหุ้นปรับลดลงมากสะท้อนข่าวร้ายไปมากแล้ว จึงเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะกลับมา Outperform ได้จากนี้

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 18.40 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.55% มูลค่าซื้อขายที่ 347.24 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 35.87%

 

บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD (ราคาเป้าหมาย 65 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาส เติบโต 4.2% จากไตรมาสก่อน และ 44.4% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากคาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อสุทธิ ส่วนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 คาดว่าจะเติบโตจากไตรมาส 4/58 ขับเคลื่อนด้วยการเติบโตของสินเชื่อ จากสาขาที่เปิดไปในปี 58 ทยอยสร้างกำไรมากขึ้น

ส่งผลให้ทั้งปี 59 คาดกำไรสุทธิเติบโต 37.9% ปัจจัยขับเคลื่อนมาจากธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถยนต์เป็นหลัก อีกทั้งครึ่งปีหลังของปี 59 เตรียมรุกเข้าสู่ธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อในพม่า ซึ่งมีศักยภาพการเติบโตที่สูงมาก

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 47 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.53% มูลค่าซื้อขายที่ 193.14 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 38.30%

 

บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC (ราคาเป้าหมาย 68 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 เติบโต 232% จากไตรมาสก่อน แต่หดตัว 178% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากขาดทุนสต๊อกน้ำมันและอะโรเมติกส์ รวมทั้งการบันทึกด้อยค่าสินทรัพย์ (impairment) ของเงินลงทุน แต่หากพิจารณาเฉพาะกำไรปกติ คาดว่าเพิ่มขึ้นราว 10.1% จากไตรมาสก่อน จากธุรกิจโรงกลั่น และอะโรเมติกส์ โดยรวมแล้วคาดกำไรสุทธิทั้งปี 2558 เพิ่มขึ้น 31.8% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

ส่วนผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 1/59 คาดจะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/58 ตามผลของฤดูกาล โดยรวมปี 59 คาดจะกลับมาเติบโตถึง 64.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีของจีนที่มีความเสี่ยงลดลง ถือเป็น Downside Risk ที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำซื้อ เนื่องจากยังมีธุรกิจโรงกลั่นซึ่งโดดเด่นตามช่วงฤดูกาลครึ่งปีแรกของปี 59 ในสัดส่วนราว 25% หนุนไว้

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 53.75 บาท บวก 2.25 บาท หรือ 4.37% มูลค่าซื้อขายที่ 1.75 พันล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 26.51%

 

บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ MTLS (ราคาเป้าหมาย 30.60 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาส เติบโตถึง 8.4% จากไตรมาสก่อน และ 62.5% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากการเติบโตของสินเชื่อสุทธิและรายได้ดอกเบี้ยรับ และโตต่อเนื่องถึงไตรมาส 1/59 โดยรวมคาดผลการดำเนินงานปี 59-60 เติบโต 40.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน และ 30.9% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ตามลำดับ แรงขับเคลื่อนมาจากการเติบโตเชิงรุกของสินเชื่อทะเบียนรถจักรยานยนต์และรถยนต์ นอกจากนี้ยังมีผลบวกจากต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 20.50 บาท บวก 0.20 หรือ 0.99% มูลค่าซื้อขายที่ 602.14 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 49.27%

 

บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE (ราคาเป้าหมาย 100 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาส เติบโตถึง 13.6% จากไตรมาสก่อน และ 12.3% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ทั้งที่เป็นช่วง low season จากการย้ายกำลังการผลิตมาที่ใหม่ที่มีประสิทธิภาพการผลิตสูงกว่าเดิม และน่าจะทำ New High ต่อเนื่องในไตรมาส 1/59 ฝ่ายวิจัยจึงได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2559-60 ขึ้นเฉลี่ย 4.7% จากเดิม แรงขับเคลื่อนหลักมาจาก Demand ที่สูงขึ้น โดยเชื่อราคาหุ้น KCE ยังเดินหน้า Outperform ตลาดฯ ได้ต่อเนื่องต่อไป

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 76.25 บาท ลบ 1.50 บาท หรือ 1.93% มูลค่าซื้อขายที่ 258.86 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 31.15%

 

บริษัท ซินเท็ค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SYNTEC (ราคาเป้าหมาย 4 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาส เพิ่มขึ้น 19% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน (แต่ลดลง 36% จากไตรมาสก่อน) หลักๆ มาจาก จากยอดรับรู้รายได้ที่น่าจะเป็นจุดสูงสุดของปี รวมถึงอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้น คาดว่าปี 58 จะมีกำไรสุทธิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่แนวโน้มกำไรปี 59 ยังแข็งแกร่ง รองรับจาก Backlog ที่มีกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท แม้คาดกำไรจะลดลงจากปี 58 แต่ยังมีโอกาสบันทึกกำไรพิเศษที่เป็น Hidden Asset  อีกหลายรายการ ช่วยหนุนกำไรให้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 3.02 บาท ลบ 0.04 บาท หรือ 1.31% มูลค่าซื้อขายที่ 53.29 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 32.45%

 

บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP (ราคาเป้าหมาย 68 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 พลิกกลับเป็นกำไรสุทธิจากขาดทุนในงวดก่อนจากกำไรพิเศษ ส่วนผลการดำเนินงานปกติไตรมาส 4/58 ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 26.5% จากไตรมาสก่อน จากค่าการกลั่นตลาดที่เพิ่มขึ้น ส่วนแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติไตรมาส 1/59 จะยังปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/58 ตามผลของฤดูกาล

โดยภาพรวมแล้วคาดกำไรจากการดำเนินงานปกติในปี 2559 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 6.2% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของจีนที่มีความเสี่ยงลดลง ถือเป็น Downside Risk ที่อาจเกิดขึ้นได้ แต่ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำซื้อ เนื่องจากคาด Div. Yield ครึ่งหลังของปี 58 ที่ 2.5% ซึ่งค่อนข้างจูงใจ

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 64.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.39% มูลค่าซื้อขายที่ 562.58 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 5.84%

 

บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF (ราคาเป้าหมาย 28 บาท) คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 4/58 ลดลงถึง 59.4% จากไตรมาสก่อน (แต่เติบโตถึง 79.6% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน) จากการลดลงของกำไรจากเงินลงทุน ขณะที่ภาพรวมธุรกิจหลักซบเซาเช่นกันจากช่วง Low Season คาดผลการดำเนินงานปี 58 หดตัวอย่างมีนัยฯ ถึง 71.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน

อย่างไรก็ตาม คาดผลการดำเนินงานไตรมาส 1/59 จะกลับมาเติบโตจากไตรมาส 4/58 หนุนด้วยช่วงเทศกาลตรุษจีน ประเมินว่ากำไรจากการดำเนินงานปี 59 คาดจะกลับมาเติบโตถึง 240.1% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน จากฐานที่ต่ำ และเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว

ขณะที่ราคาหุ้นปิดวันศุกร์ (29 ม.ค.) ที่ 19.50 บาท บวก 0.40 หรือ หรือ 2.09% มูลค่าซื้อขายที่ 854.02 ล้านบาท มีอัพไซด์จากราคาเป้าหมาย 43.59%

 

ที่มา: บทวิเคราะห์ Market Talk

Back to top button