บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้า AUM ปี 59 โตตามอุตสาหกรรมมองกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้เติบโตราว 10%

บลจ.ยูโอบี ตั้งเป้า AUM ปี 59 โตตามอุตสาหกรรม มอง SET เคลื่อนไหว 1,350-1,450 จุด คาดกำไร บจ. โตราว 10%


นายวนา พูลผล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนยูโอบี (ประเทศไทย) หรือ UOB เปิดเผยว่า ปี 59 ตั้งเป้ามูลค่าทรัพย์สินภายใต้การจัดการ (AUM) เติบโตตามอุตสาหกรรมกองทุนที่คาดเติบโตราว 10% หรืออย่างน้อยก็น่าจะโตตามตลาด จากปี 58 AUM อยู่ที่ 295,979 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายการเติบโตราว 10% อย่างไรก็ตาม ต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะดีขึ้นกว่าปีก่อน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนปีนี้สินทรัพย์ที่น่าลงทุน ยังเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มธุรกิจสุขภาพ (Healthcare) ยังดีมาก โดยเป็นการลงทุนในระยะยาว และกองทุนญี่ปุ่นยังน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี พร้อมกับปีนี้บริษัทยังคงขยายฐานลูกค้าค้าใหม่ ลูกค้าบุคคล และสถาบัน

ด้าน น.ส.ณัชชา สุนทรธาราวงศ์ กรรมการผู้จัดการอาวุโส  สายงานพัฒนาธุรกิจ บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) (UOB) เปิดเผยว่า ในปีนี้ตลาดการเงินมีแนวโน้มจะเผชิญความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น การแสวงหาโอกาสการลงทุนจะต้องกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ทางการเงินและกระจายไปในหลายกลุ่มประเทศมากขึ้น ส่งผลทำให้ บลจ.ยูโอบี มีสัดส่วนกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (FIF) ที่เติบโตขึ้น 34.23%

ทั้งนี้ ในปี 59 ยังคงแนะนำการลงทุนในกองทุนที่ลงทุนในหุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น และกองทุนกลุ่มหุ้นเพื่อสุขภาพ (Healthcare) อย่างต่อเนื่อง  นอกจากนี้ ยังใหัความสำคัญกับการลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน

“ปีนี้เน้นดูแลนักลงทุน ในภาวะที่ตลาดผันผวน เพราะช่วงไหนที่ตลาดไม่ดีก็ไม่ได้ตั้งเป้า ซึ่งแนวทางของคณะกรรมการมุ่งเน้นปรับพอร์ตให้ลูกค้าเพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดี เลือกลงทุนรับมือกับตลาดผันผวน ไม่ได้เน้นชนะตลาดเรื่องขนาด แต่ให้เน้นดูแลลูกค้าปรับพอร์ตให้ทันกับตลาดผันผวนซึ่งปี 58 หุ้นโลกลง 2% แต่เราก็ยังลงทุนถูกที่ถูกทางผลตอบแทนที่ดี อย่างกองทุนญี่ปุ่นผลตอบแทน 24% กองทุนสุขภาพ 15% สิ่งที่สำคัญสุด คือเลือกประเทศลงทุนให้ถูกต้อง”

โดยปัจจุบัน กองทุนของบริษัทมีสัดส่วนนักลงทุนสถาบัน 55% รายย่อย 45% ซึ่งเติบโตทั้งคู่ จากต้นปี 58 สัดส่วนนักลงทุนสถาบันอยู่ที่ 49% รายย่อย 51% ในส่วนนักลงทุนสถาบันในปีนี้จะเน้นลงทุนในองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร เช่น มหาวิทยาลัย มูลนิธิต่างๆ โดยนักลงทุนสถาบันที่เซ็น MOU แล้ว ได้แก่ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)ซึ่งเป็นลูกค้าสถาบันเดิมยังให้ความไว้วางใจบริษัท และสภากาชาดไทย โดยตั้งแต่ต้นปีเข้าพบสถาบันรายใหญ่ 10 ราย คาดได้ลูกค้าราว 30% ขณะที่กองทุนส่วนบุคคลปีนี้ก็ไม่น่าจะน้อยกว่าปีก่อน ส่วนการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ถือเป็นข้อได้เปรียบ เพราะบริษัทติด TOP5 ผู้บริหารกองทุนดังกล่าว

ขณะที่ น.ส.ศิริพรรณ สุทธาโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ในปี 59 คาดว่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ 1,350-1,450 จุด กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่าจะเติบโตราว 10% ค่า P/E ตลาดอยู่ที่ 13.5-14.5 เท่า จากปัจจุบันอยู่ก็ที่กว่า 13 เท่า ตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีปัจจัยที่ขับเคลื่อนสำคัญคือ การลงทุนภาครัฐ การประมูลโครงการก่อสร้างของกระทรวงคมนาคม โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐาน 

สำหรับภาพรวมภาวะเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้ คาดว่าจะเติบโต 3.5% เนื่องจากภาครัฐมีแนวโน้มออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะที่ตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญน่าจะมาจากการลงทุนภาครัฐ การท่องเที่ยวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แต่ตลาดหุ้นในระยะสั้นอาจจะเผชิญกับความผันผวนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจัยพื้นฐานภายในประเทศที่มีแนวโน้มค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นจะเป็นตัวกระตุ้นมูมมองเป็นบวกต่อตลาดทุนได้ในระยะยาว ดังนั้น บลจ.ยูโอบี ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นไทยระยะยาว

Back to top button