วิเคราะห์ความเสี่ยง Brexit กระทบไทยอย่างไร?

วิเคราะห์ความเสี่ยง Brexit กระทบไทยอย่างไร?


บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์(17 มิ.ย.) ผลกระทบ Brexit โดยตรงต่อไทยอาจจำกัด แต่กระทบทางอ้อมมากกว่า จากการคาดการณ์ต่อการลงประชามติของอังกฤษที่จะออกจากสหภาพยุโรปหรือไม่ ยังคงสร้าง แรงกดดันต่อเศรษฐกิจและตลาดเงินในวงกว้าง รวมถึงไทย กล่าวคือ ผลกระทบต่อการค้าของกลุ่มยูโรน่าจะมีนัยสำคัญ  เนื่องจากปัจจุบัน (ล่าสุดเดือน เม.ย. 2559) อังกฤษมีสัดส่วนการนำเข้า และ ส่งออก รวมกันสูงราว 50% ของการนำเข้า-ส่งออกทั้งหมดของอังกฤษ  

โดยสินค้าส่งออกที่สำคัญ คือ รถยนต์ และชิ้นส่วนเครื่องยนต์เป็นหลัก และถือว่าเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในการเข้าสู่กลุ่มยูโร  รวมถึงอังกฤษยังเป็นศูนย์กลางทางด้านการเงินของกลุ่มฯ โดยปี 2556  มีเงินลงทุนของยุโรป (FDI) ไหลเข้าอังกฤษ ราว 4.52 แสนล้านเหรียญฯ หรือเพิ่มขึ้น  51%  เทียบกับปี 2539  และยังมีบริษัทการเงินขนาดใหญ่หลายแห่งของโลกมาตั้งสำนักงานใหญ่ในอังกฤษฯ อาทิ HSBC ซึ่งอังกฤษมีรายได้จากภาคการเงินราว 255 พันล้านเหรียญฯต่อปี หรือ 12% ของเศรษฐกิจรวม

ทั้งนี้แม้อังกฤษอาจจะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายค่าสมาชิกภาพปีละ  1.6 หมื่นล้านปอนด์  และลดค่าใช้จ่ายในเรื่องผู้อพยพก็ตาม แต่การออกจากสหภาพยุโรป ก็มิได้หมายความว่าอังกฤษจะหลุดพ้นจากการต้องให้ความช่วยเหลือต่อผู้อพยพ ที่นับว่าแต่จะมากขึ้น โดยปีที่ผ่านมา มีผู้อพยพจากประเทศตะวันออกกลาง เช่น ซีเรีย อิรัก และ อิหร่าน และ อัฟกานิสถานปีละกว่า 1.2 ล้านคน 

ขณะที่ปัญหาอื่น ๆ ที่ยังไม่สามารถประเมินได้ คือ การลงทุนที่อยู่ระหว่างดำเนินการ หรือ ที่พัฒนาร่วมกันเช่นในเรื่องสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สายส่งไฟฟ้า สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังเป็นเรื่องที่น่าจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน  

ขณะที่ผลกระทบต่อไทยคาดว่าน่าจะมีจำกัด  เพราะแม้มูลค่าการค้าขายกับยุโรปจะรวมกัน  ราว 10% ของมูลค่าการค้ารวมของไทย  โดยไทยเป็นผู้ส่งออกสุทธิ(Net Export) หรือเกินดุลการค้าตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้งปี  2540 เป็นต้นมา  แต่สินค้าส่งออกมีการกระจายตัว กล่าวคือ  สินค้าส่งออก 5 อันดับแรก อาทิ  อุปกรณ์บรรจุข้อมูล เช่น CD DVD ราว 4%, เนื้อสัตว์ 4%, Memory card 4% , ชิ้นส่วนเครื่องประดับ 2% และ เลนส์แว่นตา 2%

และการค้าขายกับอังกฤษ   มีสัดส่วนเพียง 1.5% ของมูลค่าการค้ารวม โดยไทยยังเป็น Net Export กับประเทศอังกฤษ  โดยสินค้าส่งออก 5 อันดับแรก อาทิ  ไก่แปรรูป มากสุด 14%  รองลงมาคือ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 7.4%  อัญมณีและเครื่องประดับ 7%  อาหารทะเลกระป๋อง 5.7% และคอมพิวเตอร์ราว 3.7%

ส่วนด้านลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ คาดว่ากระทบในระยะยาว  โดยพบว่า เม็ดเงินจากยุโรปคิดเป็นราว 22% ของ FDI  ทั้งหมด ที่เข้าประเทศไทย  โดยมีเยอรมัน ฝรั่งเศส และอังกฤษ ที่นำเงินเข้ามาลงทุนสูงสุดใน 3 ลำดับแรก   

อย่างไรก็ตามผลกระทบในระยะสั้น   คาวดว่าน่าจะเป็นเรื่องของ อัตราแลกเปลี่ยน เชื่อว่าจะทำให้ค่าเงินยูโรและเงินปอนด์มีทิศทางอ่อนค่าแรง  ส่งผลกระทบต่อเงินบาท จะกลับมาแข็งค่า ซึ่งอาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยในระยะสั้น ๆ  

Back to top button