คัด 7 หุ้นตัวเต็ง ลุ้นผลงาน Q1/60 เจิดจรัส!

คัด 7 หุ้นตัวเต็ง ลุ้นผลงาน Q1/60 เจิดจรัส! เตรียมโชว์ตัวเลขกำไรโตแข็งแกร่งรับขาขึ้นธุรกิจ นำโดย PTTGC, BANPU, TACC, KKP, BIG,HANA และ TASCO


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์ ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์กรุงศรี ซึ่งทำการวิเคราะห์บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีแนวโน้มว่าผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 นั้น จะปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ขณะที่ในช่วงดังกล่าวยังเป็นขาขึ้นของธุรกิจ

โดย บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้เน้นรอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัว เน้นหุ้นที่แนวโน้มผลประกอบการ ไตรมาส 1/60 จะออกมาดีเป็นหลัก อาทิ PTTGC, BANPU, TACC, KKP, BIG,HANA และ TASCO

อันดับที่ 1 บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC  โดย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) แนะนำ “Outperform” PTTGC ราคาเป้าหมาย 84 บาท/หุ้น โดยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2060/61 ขึ้นอีก 2% และ 5% ตามลำดับ หลังจากที่ได้รวมบริษัทปิโตรเคมีหกแห่งเข้ามาในการประเมินมูลค่า PTTGC หลังจากที่ผู้ถือหุ้นอนุมัติแผนการเข้าซื้อบริษัททั้งหกแห่งจาก PTT (PTT.BK/PTT TB) เมื่อวันที่ 5 เมษายน

ทั้งนี้คาดว่ากำไรสุทธิของ PTTGC ในไตรมาส 1/60 จะอยู่ที่ 1.08 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก ราคา olefins เพิ่มขึ้น ขณะที่ spread ของ aromatics ดีขึ้น และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 781 ล้านบาท เพราะค่าเงินบาทแข็งขึ้น 1.4 บาท/ดอลลาร์ (จากที่มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 638 ล้านบาทในไตรมาส 4/59 ทั้งนี้ยังคงแนะนำให้ซื้อ PTTGC โดยให้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 84.00 บาท จากเดิม 83.00 บาท ซึ่งสะท้อนถึงการปรับเพิ่มประมาณการกำไรจากการรับโอนกิจการหกบริษัทมาจาก PTT เสร็จเรียบร้อยในเดือนตุลาคม 2560

 

อันดับที่ 2 บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU โดย บล.ซีไอเอ็มบี แนะนำ “ซื้อ” BANPU ราคาเป้าหมาย 25 บาท/หุ้น โดยเชื่อว่ากำไรของบริษัทกำลังอยู่ที่จุดต่ำสุดและจะค่อยๆปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรทั้งถ่านหินและโรงไฟฟ้า

ทั้งนี้ราคาถ่านหินอ้างอิงที่สูงกว่าคาดสามารถคงอยู่ได้นานกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น BANPU ทั้งนี้คาดกำไรของธุรกิจถ่านหินจะสูงกว่า US$10/t มาจากราคาขายที่สูงขึ้นมากกว่าต้นทุนถ่านหินที่เพิ่มขึ้น

โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท จากทั้งธุรกิจถ่านหิน และไฟฟ้า เนื่องจากการใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นของหงสา

 

อันดับที่ 3 บริษัท ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TACC โดย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ “ซื้อ” TACC ราคาเป้าหมาย 10.60 บาท/หุ้น โดยมองแนวโน้มปี 60 โตเคียงคู่พันธมิตรหลัก 7-11 และได้ส่วนหนุนจากสินค้าส่งออก คงประมาณการกำไรปี 60 ไว้ดังเดิมที่ 142.8 ล้านบาท เติบโต 40.2% จากปีก่อน รายได้อยู่ที่ 1,612 ล้านบาท เติบโต 37% จากปีก่อน

 

อันดับที่ 4 ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน) หรือ KKP โดย บล.เคทีบี แนะนำ “ซื้อ” KKP ราคาเป้าหมาย 75.50 บาท/หุ้น โดยมองว่าสินเชื่อกลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิปี 60 ที่ 5.61 พันล้านบาท โต 0.9% จากปีก่อน และ Dividend Yield สูงที่สุดในกลุ่มธนาคาร

ขณะที่ สินเชื่อปีนี้กลับมาโต 11.3% จากปีก่อน ภายหลังการหดตัวในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้านคุณภาพสินเชื่อดีขึ้นเรื่อยๆ  คาด NPLs อยู่ที่ระดับ 5.2% ในปี 60 นอกจากนี้ดอกเบี้ยแนวโน้มปรับขึ้นในครึ่งปีหลังปี 60 จากแรงกดดันภายนอกประเทศ NIM ปี 60 อยู่ที่ 5% ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมในปีเติบโตเพิ่มขึ้น 7.50% จากรายได้ที่เกี่ยวเนื่องตลาดทุน

 

อันดับที่ 5 บริษัท บิ๊ก คาเมร่า คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BIG โดย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่ากำไรปกติของ BIG ในไตรมาส 1/60 จะเติบโตได้ถึง 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน มาที่ราว 240 ล้านบาท ได้รับปัจจัยหนุนจากรายได้ที่คาดว่าจะขยายตัว 16% ตามการเติบโตของตลาดกล้องที่ผู้บริหารของ BIG คาดว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10-15% ในปีนี้ ประกอบกับ BIG มีความสามารถที่โดดเด่นกว่าคู่แข่ง ขณะเดียวกัน BIG ยังได้ประโยชน์จากการประหยัดต่อขนาดที่ดี จากค่าใช้จ่ายหลักที่ไม่ขึ้นตามรายได้

นอกจากนี้กระแส  FUJI-XA3 ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/59 และ PANA-GF9 ที่เปิดตัวในช่วงกลางเดือน ก.พ. 60 ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง

ส่วนแนวโน้มไตรมาส 2/60 จะได้แรงหนุนจากงาน fair ประจำปี และต่อเนื่องด้วยแรงหนุนจากสต็อกสินค้าใหม่ที่ทยอยเข้าเต็มตัว เช่น FUJIXT20 , FUJIGFX รวมถึงการเปิดตัวรุ่นใหม่ เช่น CANON M6 และ SONY ตัวใหม่หลายรุ่น

 

อันดับที่ 6 บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA โดย บล.กสิกรไทย แนะนำ “ซื้อ” HANA ราคาเป้าหมาย 46.50 บาท/หุ้น ทั้งนี้คงคำแนะนำ ซื้อ สำหรับ HANA และปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 46.50 บาท จากเดิม 37.50 บาท เนื่องจากเราปรับเพิ่มเป้าหมาย PER เป็น 15 เท่า (+2SD) จากเดิม 12 เท่า (+1SD)

โดยเชื่อว่า HANA จะถูก Re-rate ขึ้นเนื่องจากบริษัทฯกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สนับสนุนโดยดีมานด์ที่แข็งแกร่งจากตลาดสหรัฐฯ ดังนั้น เราคาดกำไรจากการดำเนินงานจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในปี 2560 ที่ 23% YoY มาที่ 2.49 พันลบ. เนื่องด้วย 1) คำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าเพื่อจับความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐฯ และ 2) ธุรกิจ PCBA ที่ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2559 จากยอดขายจากโรงงานที่ Ohio ที่แข็งแกร่งซึ่งช่วยชดเชยยอดขายในกลุ่ม PC ที่ลดลงได้ แม้ราคาปัจจุบันมีอัพไซด์เพียง 7.5% แต่ HANA มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าสนใจถึง 5% ทำให้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนเป็น 12.5% ซึ่งยังช่วยสนับสนุนคำแนะนำ “ซื้อ”

 

อันดับที่ 7 บริษัท ทิปโก้แอสฟัลท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TASCO โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส แนะนำ “ซื้อ” TASCO ราคาเป้าหมาย 35 บาท/หุ้น ทั้งนี้คาดการณ์กำไรงวดไตรมาส 1/60 จะสามารถทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ เป็น 1.46 พันล้านบาท (+64% q-o-q, +23% y-o-y) ถือว่าฟื้นตัวหลังจากปี 59 มีผลการดำเนินงานไม่สดใส ขณะที่ภาวะอุตสาหกรรมยางมะตอยกลับเข้าสู่ภาวะขาขึ้น (uptrend) มีอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากประเทศจีนและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดหลักของ TASCO ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบคือ น้ำมันซึ่งเป็นสัดส่วนประมาณ 75% กลับปรับลง นับว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม

โดยราคาขายยางมะตอยที่ต่างประเทศยังมีความสดใส จากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง หลังปี 59 ได้ผ่านจุดต่ำสุด (bottom) ไปแล้ว ส่วนความกังวเรื่องที่รัฐจะมาควบคุมราคายางมะตอยในประเทศที่ปรับสูงขึ้นมา แต่เนื่องจาก TASCO ได้ให้คำจัดความธุรกิจเป็น ผู้ซื้อ ไม่ได้เป็นผู้ผลิต เราจึงคาดว่าบริษัทจะไม่ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้

สำหรับข้อดีอีกหนึ่งประการคือ คาดว่าภาครัฐจะมีงบประมาณเกี่ยวกับซ่อมบำรุงถนนหนทางในงวดปี 60 เพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะมีการใช้ยางมะตอยอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็ส่งผลบวกกับ TASCO ต่อไป

ทั้งนี้คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาพื้นฐานที่ 35.00 บาท ซึ่งประเมินด้วย P/E ปี 60 ที่ 12.5 เท่า (+0.75 SD) นอกจากปัจจัยบวกข้างต้น เราเห็นว่า TASCO อยู่ในสถานะที่ดีภายในอุตสาหกรรมยางมะตอย เพราะปัจจุบันยังมีอุปทานที่ต่ำในภูมิภาคแถบนี้

 

*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้นเป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำหรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตามล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

 

 

Back to top button