
TPCH วางเป้าปี 62 รายได้-กำไรโตเป็น 3 เท่าจากปีนี้
TPCH วางเป้าปี 62 รายได้-กำไรโตเป็น 3 เท่าจากปีนี้
นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือTPCH เปิดเผยว่าบริษัทวางเป้าหมายมีรายได้และกำไรสุทธิเติบโตเป็น 3 เท่าในปี 62 จากปีนี้ ตามกำลังการผลิตไฟฟ้าที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ที่จะเพิ่มเป็น 140 เมกะวัตต์ (MW) จากปีนี้ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าที่ COD เพียง 40 MW
ขณะที่การทุ่มประมูลโครงการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวลในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ครั้งที่ผ่านมา แม้จะได้ค่าไฟฟ้าต่ำราว 3.2 บาท/หน่วย จากปกติราว 5 บาท/หน่วย แต่ยืนยันว่าอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) จะไม่ต่ำกว่า 15% พร้อมทั้งได้ครองพื้นที่กึ่งผูกขาดผลิตไฟฟ้าชีวมวลในภาคใต้ด้วย
ก่อนหน้านี้ TPCH ตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เติบโต 200% จากปีก่อนที่มีรายได้รวม 304.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 46.61 ล้านบาท โดยในปีที่แล้วบริษัทรับรู้รายได้และกำไรจากโรงไฟฟ้า 2 แห่ง กำลังการผลิตรวมประมาณ 20 MW
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า บริษัทวางเป้าหมายในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าในมือจากทั้งในและต่างประเทศเพิ่มเป็น 350 MW โดยมาจากในประเทศ 250 MW แบ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวล 200 MW และโรงไฟฟ้าขยะ 40-50 MW ส่วนในต่างประเทศวางเป้าจะมีกำลังผลิตไฟฟ้า 100 MW
จากปัจจุบันที่บริษัทมีกำลังผลิตไฟฟ้าในมือเฉพาะในประเทศราว 110 MW ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้งหมด แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าช้างแรก ไบโอเพาเวอร์ (CRB) ถือหุ้น 75% COD ในปี 58 ,โรงไฟฟ้าแม่วงศ์ เอ็นเนอยี่ ถือหุ้น 85% COD ในปี 58 ,โรงไฟฟ้ามหาชัย กรีน เพาเวอร์ ถือหุ้น 46% COD ในเดือนเม.ย.59 ,โรงไฟฟ้าทุ่งสัง กรีน ถือหุ้น 65% COD ในไตรมาส 3/59 , โรงไฟฟ้าพัทลุง กรีน เพาเวอร์ ถือหุ้น 60% COD ในไตรมาส 1/60 ,โรงไฟฟ้าสตูล กรีน เพาเวอร์ ถือหุ้น 51% COD ไตรมาส 2/60 ซึ่งทั้ง 6 โรงมีกำลังการผลิตแห่งละประมาณ 10 MW
ส่วนโรงไฟฟ้าปัตตานี กรีน ที่ TPCH ถือหุ้น 65% กำลังผลิตรวม 46 MW ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะได้รับอนุญาตในเดือน ก.ย.นี้ โดยโครงการแบ่งเป็น 2 ระยะ ระยะแรก 23 MW คาดว่าจะได้รับสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ในเดือน ก.ย. โดยจะเริ่มโครงการและดำเนินการผลิตในปี 61
ส่วนระยะที่ 2 อีก 23 MW อยู่ระหว่างรอผลพิจารณาการรับซื้อไฟฟ้า (LOI) จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) หลังยื่นเสนอโครงการไปแล้ว 2 ปีก่อนที่ทางรัฐบาลจะปิดรับซื้อไฟฟ้าในระบบ adder เชื่อว่าหากได้รับอนุมัติก็จะแปลงจาก LOI เป็น PPA และสามารถดำเนินโครงการได้
สำหรับโครงการที่เพิ่งประมูลได้ใหม่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ โรงไฟฟ้า ทีพีซี เพาเวอร์1 (TPCH1) , โรงไฟฟ้า ทีพีซี เพาเวอร์2 (TPCH2) และโรงไฟฟ้า ทีพีซี เพาเวอร์5 (TPCH5) แต่ละโครงการถือหุ้นโครงการละ 65% โดย TPCH1 และ TPCH2 มีกำลังผลิตแห่งละ 10 MW ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันใน จ.ยะลา ทำให้สามารถใช้สาธารณปูโภคร่วมกันได้บางอย่าง ส่งผลให้สามารถประมูลค่าไฟฟ้าได้ในระดับต่ำ ส่วน TPCH5 มีกำลังผลิตราว 6 MW ตั้งอยู่ในจ.นราธิวาส โดยโครงการทั้งหมดจะต้อง COD ภายในเดือนธ.ค.61
นายเชิดศักดิ์ กล่าวถึงการเข้าซื้อหุ้น 45% ในบริษัท สยาม พาวเวอร์ จำกัด (SP) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะชุมชน ขนาดราว 10 MW และมีแผนที่จะเสนอขายไฟฟ้าให้กับภาครัฐราว 8 MW ว่า แม้ปัจจุบันภาครัฐจะยังไม่ได้ประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากขยะอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับ PPA จากโครงการดังกล่าว เนื่องจาก SP ได้รับสัญญาบริหารจัดการขยะขององค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี (อบจ.นนทบุรี) จำนวน 3.8 ล้านตัน ภายใน 10 ปี เพียงพอจะนำมาผลิตเป็นเชื้อเพลิงขยะอัดแท่ง (RDF) เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้าเป็นเวลา 20 ปี และยังมีโอกาสที่จะพัฒนาโรงไฟฟ้าขยะ แห่งที่ 2 ได้อีกในอนาคตด้วย
ทั้งนี้ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้ออกร่างประกาศและหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าโครงการผลิตไฟฟ้าจากขยะชุมชน ในรูปแบบ FiT มีเป้าหมายการรับซื้อไฟฟ้าที่กำลังการผลิตติดตั้งประมาณ 100 MW เบื้องต้นจะให้ยื่นคำร้องและข้อเสนอขอขายไฟฟ้า ระหว่างวันที่ 17-21 ต.ค.59 และประกาศรายชื่อผู้ที่ได้รับการคัดเลือก วันที่ 17 พ.ย.59 โดยผู้ได้รับคัดเลือกจะต้อง COD ภายในวันที่ 31 ธ.ค.62 พร้อมทั้งประกาศพื้นที่ที่มีศักยภาพทำโครงการนำร่อง 8 พื้นที่ ซึ่งรวมถึงในส่วนของอบจ.นนทบุรี ด้วย
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในมือปัจจุบันที่ราว 110 MW นั้น ยังไม่ได้นับรวมโรงไฟฟ้าขยะ ของ SP จำนวนราว 10 MW และโรงไฟฟ้าชีวมวล ปัตตานี ระยะที่ 2 อีก 23 MW แต่โรงไฟฟ้าทั้ง 2 มีแนวโน้มที่จะได้รับ PPA ทำให้คาดว่ากำลังการผลิตในมือและ COD จะเพิ่มขึ้นเป็นราว 140 MW ภายในปี 62
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ราว 1.1 พันล้านบาทนั้น เพียงพอที่จะรองรับการลงทุนใหม่ได้ถึง 150 MW โดยไม่ต้องเพิ่มทุน เพราะเงินลงทุนส่วนใหญ่จะมาจากเงินกู้โครงการ (project finance) ราว 70% ส่วนที่เหลือเป็นส่วนทุนอีก 30%
การลงทุนสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ประมูลได้ใหม่ 3 โครงการนั้นมีมูลค่าโครงการราว 1.8 พันล้านบาท คาดว่าจะสร้างอัตรากำไรสุทธิราว 25-30% ต่อปี ต่ำกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับอัตรากำไรสุทธิของโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีอยู่แล้วที่อยู่ระดับ 45-50% ต่อปี ส่วนโรงไฟฟ้าขยะชุมชน คาดว่าจะทำอัตรากำไรสุทธิได้ราว 30-35% ต่อปี
นายเชิดศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับโอกาสการลงทุนโรงไฟฟ้าต่างประเทศนั้น มีความเป็นได้สูงสำหรับการลงทุนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำจากเขื่อนในลาว โดยในเดือนก.ย.นี้บริษัทจะลงนามบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น (MOU) กับลาว เพื่อเข้าศึกษาการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ Sebanhieng กำลังการผลิตราว 80 เมกะวัตต์ ซึ่งจะเป็นการลงทุนเอง 100% แต่การลงทุนโครงการนี้ต้องใช้เวลาศึกษาทำ EIA ก่อนจะยื่นขอ PPA ซึ่งคาดว่ากว่าจะได้ก่อสร้างใช้เวลา 4-5 ปี
ขณะที่ภายในสิ้นปีนี้จะได้ข้อสรุปดีลร่วมลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังน้ำ เขื่อนขนาดเล็ก 2 โครงการในลาว ขนาดโครงการละ 10 MW ซึ่งจะเป็นการร่วมลงทุนถือหุ้นมากกว่า 50% ซึ่งทั้งสองโครงการมี PPA แล้ว และจะต้องขายไฟฟ้าในปี 60 โดยโครงการในลาวจะขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าลาว (EDL) ทั้งหมด ส่วนการลงนาม MOU เพื่อศึกษาโครงการผลิตไฟฟ้าจากชีวมวล 90 MW ในกัมพูชานั้น ยังไม่คืบหน้า
นอกจากนี้ บริษัทยังมองโอกาสที่จะเข้าซื้อกิจการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เดินเครื่องผลิตแล้วในพื้นที่ภาคใต้เพิ่มเติมด้วย โดยปัจจุบันกำลังพิจารณาอยู่ 2-3 แห่ง ขนาดกำลังการผลิตแห่งละประมาณ 10 MW คาดว่าจะได้รับ IRR ไม่ต่ำกว่า 15% แต่เชื่อว่าคงจะไม่สามารถสรุปได้ง่ายนัก และอาจจะต้องเข้าไปดำเนินการปรับปรุงโครงการเพื่อให้ดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย