ดูกันชัดๆ! ผลกระทบประชุม FED-BOJ ต่อตลาดหุ้นไทย

ดูกันชัดๆ! ผลกระทบประชุม FED-BOJ ต่อตลาดหุ้นไทย


บล.ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ (21 ก.ย.) แนะนำติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) และสหรัฐฯ (FOMC) ในวันนี้ (21 ก.ย.) ซึ่งมีมุมมองดังต่อไปนี้

1) ผลการประชุม BoJ คาดว่า BoJ จะมีมติคงระดับมาตรการต่างๆไว้ที่ระดับเดิม หรือหากมีการออกมาตรการใหม่ออกมา คาดว่าจะเป็นการลดดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับติดลบมากขึ้นจากเดิมที่ -0.1% และ/หรือการเพิ่มวงเงินมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ไปยังตราสารต่างๆ อาทิเช่นสินทรัพย์เสี่ยงจำพวก REIT / ETF เป็นต้น

2) ผลการประชุม FOMC คาดว่า Fed จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.25-0.50% และจะมีการปรับลดค่ากลางระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสมผ่าน Dots plot ตลอดปี 59-61

ทั้งนี้หากผลออกมาตรงตามที่คาดไว้ ประเมิน SET Index มีโอกาสปรับตัว Sideways up สู่ระดับ 1,500 – 1,520 จุดในช่วงที่เหลือของเดือนกันยายนนี้ (เป็นระดับที่คำนวณได้จากโมเดล EYG อิง EPS คาดการณ์ปีหน้าที่ 106.5 บาทและ Bond yield 10 ปีของสหรัฐฯที่ 1.65% – 1.70%)

โดยหากค่ากลางของ Dots plot มีการปรับลงมากเท่าไหร่ ก็จะเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นมากเท่านั้น อย่างไรก็ดีมองมีโอกาสยากที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่บริเวณ 1550 จุด เนื่องจากไม่คาดว่า Bond yield และเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะปรับตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากนักลงทุนคงมองข้ามช็อตไปว่า Fed คงจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม 100% แน่นอนนั่นเอง

 

ซึ่งหากผลออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ มองผลกระทบที่จะมีต่อ SET Index ในกรณีต่างๆดังต่อไปนี้

1) หาก Fed มีมติคงดอกเบี้ย และ BoJ มีมติออกมาตรการใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น Helicopter money คาดว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นทดสอบจุดสูงสุดเดิมที่บริเวณ 1,550 จุด

2) หาก Fed มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย และ BoJ มีมติไม่ออกมาตรการเพื่มเติมหรือออกมาตรการเพิ่มแต่เป็นมาตรการเดิมๆ คาดว่าดัชนีจะปรับตัวลง โดยมองระดับดัชนี 1,400 – 1,420 จุดเป็นแนวรับสำคัญ

3) หาก Fed มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ย และ BoJ มีมติออกมาตรการใหม่ๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่น Helicopter money คาดว่าผลกระทบของทั้ง 2 ปัจจัยจะหักล้างกัน และน่าจะทำให้ดัชนีแกว่งตัว Sideways บริเวณ 1,450 จุด

กลยุทธ์การลงทุนจากการที่คาดว่า Fed จะยังไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมคืนวันนี้ ทำให้แนะนำ Let profit run สำหรับหุ้นที่ได้เข้าสะสมไปแล้ว และมองว่าการปรับตัวลงของดัชนีเมื่อวานนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่ยังมีหุ้นในน้ำหนักที่น้อยในการเข้าลงทุนเพิ่ม แนะนำโฟกัสหุ้นในกลุ่มที่คาดว่าจะมีผลประกอบการเติบโตโดดเด่นในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ กลุ่มอาหาร อิเล็กทรอนิกส์ สายการบิน และกลุ่มที่มีความผันผวนต่ำ เช่น โรงไฟฟ้าและโรงพยาบาล

 

 

Back to top button