เครือข่ายปชช.โร่ฟ้อง DSI ตรวจสอบ “บี เตชะอุบล” หลอกลวงนักลงทุนหรือไม่!

เครือข่ายภาคประชาชนปกป้องประโยชน์ผู้ถือหุ้นตลาดทุนไทยโร่ฟ้อง DSI ตรวจสอบ “บี เตชะอุบล” และพวกหลอกลวงนักลงทุนหรือไม่!

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายภาคประชาชนปกป้องประโยชน์ผู้ถือหุ้นตลาดทุนไทยได้รับการร้องเรียนและแจ้งข้อมูลจากผู้ถือหุ้นในตลาดทุนจำนวนหนึ่งว่า ให้ตรวจสอบการกระทำของนายบี เตชะอุบล และพวก ซึ่งมีพฤติการณ์ที่น่าจะสร้างความเสียหายต่อภาพรวมตลาดทุนไทยและนักลงทุนจำนวนมากช่วงตลอด 10 ปีที่ผ่านมาว่า เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาคสาธารณะและสังคมนักลงทุนในวงกว้างหรือไม่ ซึ่งมีพฤติการณ์/ข้อมูลตามลำดับดังนี้

ลำดับที่ 1 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2553 กลต.ได้กล่าวโทษนายบี เตชะอุบล ต่อกรมสอบสวนพิเศษ โดยมีพยานหลักฐานที่เชื่อว่า ในระหว่างปี 2549 นายบี ได้แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบต่อบริษัท อินเตอร์แนชั่นเนิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ IEC มูลค่า 60.5 ล้านบาท ในฐานะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งเข้าข่ายความผิดมาตรา 107,308,311,313 และมาตรา 315 แห่งพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

ลำดับที่ 2 เมื่อปี 2556 นายบี ได้มาซึ่งหุ้นบริษัท เคเทค คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTECH จำนวน 75.35% ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 และได้ประชาสัมพันธ์โฆษณาชวนเชื่อให้นักลงทุนมากมายมาซื้อนอกตลาด โดยตนเองได้ขายหุ้นและทิ้งบริษัทช่วงระหว่างปลายปี 2556 ทำให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยหลงเชื่อได้รับความเสียหายจากการเข้าลงทุนโดยสุจริต และจากข้อมูลการรายงานการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ต้องนำส่งต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) น่าจะอนุมานได้ว่า นายบี ได้ขายหุ้นไปโดยไม่เสียภาษีไปอย่างถูกต้องเพื่อประโยชน์ตนเองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ลำดับที่ 3 เมื่อปี 2557 นายบี ได้ให้ข่าวสารอันเป็นเท็จและส่อว่าได้กระทำการฉ้อฉล ซึ่งทำให้นักลงทุนหลงเชื่อและซื้อหุ้นของบริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA ช่วงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ – 31 สิงหาคม 2557 โดยนายบี ได้ให้ข่าวครอบงำกิจการของ TTA กว่า 30% และจะเปลี่ยนแปลงกรรมการใหม่โดยให้นายวิจิตร สุพินิจ เป็นประธาน แต่ข้อเท็จจริงออกมายอมรับภายหลังว่ามีหุ้นเพียง 100 หุ้น

ลำดับที่ 4 เมื่อระหว่างปี 2557-2559 นายบี ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และกรรมการของบริษัทอุตสาหรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EIC โดยในช่วงเวลานั้นได้มีพฤติกรรมในการให้ข่าวสารประชาสัมพันธ์อันเป็นเท็จ เพื่อให้นักลงทุนหลงเชื่อและเกิดความเสียหายต่อตลาดทุน อีกทั้งอาจเข้าข่ายกระทำทุจริตเนื่องจากได้ร่วมกันแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามาตรา 306,307,311 และมาตรา 315 แห่งพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535

ทั้งนี้จากข้อเท็จจริงดังกล่าวข้างต้น เครือข่ายภาคประชาชนปกป้องประโยชน์ผู้ถือหุ้นตลาดทุนไทยจึงต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษตรวจสอบพฤติการณ์ของนายบี เตชะอุบลและพวก ซึ่งส่อมีการกระทำกันเป็นขบวนการ กระทำเป็นขั้นเป็นตอนมีการแบ่งหน้าที่กันทำและมีความสลับซับซ้อน ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อตลาดทุนไทย ดังนี้

1.ตรวจสอบการซื้อขายและโอนหุ้นของกลุ่มนายบี ในหลักทรัพย์ KTECH, TTA และ EIC ย้อนหลัง 5 ปี ของบุคคลและนิติบุคคล ดังต่อไปนี้

1.1 นายบี เตชะอุบล

1.2 นางสาวอัจฉริยา เลิศวไลกุล

1.3 บริษัทไทย ไพร์ม จำกัด

1.4 บริษัทไทย ไพร์ม อินเวสเม้นท์ ลิมิเต็ลจำกัด หรือ TPIL

1.5 นายลูก้า จีเอ โคโม เพียตโตร โรวีด้า

1.6 นายสเตฟาน เบนายน

1.7 นายไมเคิล เฟอร์นันเดซ

1.8 บริษัท สปอร์ต อีเว้นท์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ SEI

1.9 บริษัท โกลเบิลลีเจินท์เซอร์รี่ลิมิเต็ล จำกัด หรือ GLS

 

2.ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคลในข้อ 1 ว่ามาจากแหล่งเดียวกันหรือไม่และ/หรือมีผู้จัดการหรือผู้ดำเนินการร่วมกันหรือไม่

3. ตรวจสอบจดหมายอิเล็กโทรนิกส์ หรือ E-mail เอกสารหลักฐานต่างๆ ของบุคคลและนิติบุคคลในข้อ 1. รวมไปถึงหน้าที่การตลาดที่เกี่ยวข้องทุกคน

4. ตรวจสอบความถูกต้องในการเสียภาษีเงินได้ของบุคคลและนิติบุคคลในข้อ 1 ในการขายหุ้น KTECH นอกตลาด

5. ตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องในการลงทุนในธุรกิจของบริษัท EIC ในปี 2557-2559

6. ตรวจสอบเอกสารทั้งหมดและเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหุ้นระหว่าง EIC และบริษัท สมาร์ท แทรฟิค จำกัด และ นางสาวพรพันธ์ ศิริวงศ์ ณ อยุธยา รวมถึงการชำระเงินมัดจำ 70,000,000.00 บาทในปี 2547-2548

ทั้งนี้เครือข่ายภาคประชาชนปกป้องประโยชน์ผู้ถือหุ้นตลาดทุนไทยต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตรวจสอบโดยเร่งด่วน และหากว่าเป็นการกระทำผิดที่น่าจะเป็นคดีพิเศษ ขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการตาม พ.ร.บ. การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เพื่อดำเนินคดีต่อผู้กระทำผิดและจะขอนำผู้เสียหาย/พยานเข้าให้ข้อมูลในชั้นสืบสวนต่อไป