
3 หุ้นสุดแกร่งแข่งกันทุบสถิติ “All Time High” ลุ้นกำไรโตสนั่น!
3 หุ้นสุดแกร่งแข่งกันทุบสถิติ "ออลไทม์ไฮ" ต่อเนื่อง ลุ้นกำไรโตทะลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ณ เวลา 11.30 น. ราคาอยู่ที่ 63 บาท บวก 3.50 บาท หรือ 5.88% สูงสุดที่ 64.25 บาท ต่ำสุดที่ 59.75 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 1.70 พันล้านบาท โดยราคาหุ้น GULF ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 6 ธ.ค.60 จากราคา IPO ที่ 45 บาท
ขณะที่เช้าวันนี้มีกระแสข่าวว่าบริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA มีโอกาสซื้อหุ้น GULF เพิ่มหากผลตอบแทนดี โดยก่อนหน้านี้ ROJNA เป็นผู้ถือหุ้น GULF ทั้งหมด 20,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 0.94%
ด้าน นายกฤษณ์ สุวรรณพิบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.เอเชีย เวลท์ เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นไทยอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น และดัชนีฯมีโอกาสทำ all time high ซึ่งหุ้นในกลุ่มผลิตไฟฟ้าโดยภาพรวมยังน่าสนใจและมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ขณะที่หุ้นบางตัวได้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากก่อนหน้านี้แล้ว นักลงทุนก็ควรระวังแรงขายทำกำไรด้วย
ส่วนราคาหุ้น บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ณ เวลา 11.30 น. อยู่ที่ 30.25 บาท บวก 1.25 บาท หรือ 4.31% สูงสุดที่ 30.25 บาท ต่ำสูงสุดที่ 28.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.03 พันล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น BGRIM ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 19 ก.ค.60 จากราคา IPO ที่ 16 บาท
โดย บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ BGRIM ยังคงมีแนวโน้มหลักอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) อย่างชัดเจน จากการเกิดทั้ง Daily, Weekly, & Monthly Buy Signal เมื่อพิจารณา Price Pattern ของ BGRIM ยังคงบ่งบอกถึงการทำ New High ได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้มีเป้าหมายสำคัญของการทำ New High อยู่ที่ 31.25 บาท ทั้งนี้ BGRIM มีจุด Stop Loss ระยะสั้นอยู่ที่ 26 บาท (แนวต้าน : 29.50, 30.00, 30.50; แนวรับ: 28.50, 28.00, 27.50)
โดย BGRIM เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ปัจจุบันมีกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 1,646 MW และมีแผนจะเพิ่มเป็น 2,482 MW ภายในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้น 51% ในระยะเวลา 5 ปี โดย BGRIM เปิดเผยว่า ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) และอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อลงทุนพัฒนาโรงไฟฟ้าใน 3 ประเทศอีกกว่า 1,000 เมกะวัตต์
ดังนั้นจึงคาดว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิในปี 60 เท่ากับ 2,271 ล้านบาท และปี 61 เท่ากับ 2,869 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% เทียบจากปีก่อนและ 26% เทียบจากปีก่อน ตามลำดับ
นอกจากนี้ปรับราคาเป้าหมายขึ้นจาก 28 บาทต่อหุ้น เป็น 33 บาทต่อหุ้น โดยปรับสมมติฐานให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้นว่าบริษัทสามารถลงทุนและต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้เท่ากับ 100% ของกำลังไฟฟ้าติดตั้งที่มีอยู่ในมือ จากเดิมที่ใช้สมมติฐานแบบอนุรักษ์นิยมว่าบริษัทสามารถต่อสัญญาซื้อขายไฟฟ้าได้เพียง 50%-80% ของกำลังไฟฟ้าติดตั้งที่มีอยู่ในมือ
ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 11.30 น. อยู่ที่ 69.50 บาท บวก 1 บาท หรือ 1.46% สูงสุดที่ 69.50 บาท ต่ำสูงสุดที่ 68.75 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 904.39 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น AOT ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 11 มี.ค.47 จากราคา IPO ที่ 42 บาท
โดย บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำซื้อ AOT ให้ราคาเป้าหมาย 70.50 บาท คาดกำไรปี 60/61 (ต.ค.60-ก.ย.61) เติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง 25% เทียบจากปีก่อนเป็น 2.6 หมื่นล้านบาท โดยงวดไตรมาส 1/60-61 (ต.ค.-ธ.ค.60) คาดกำไรอยู่ที่ 6 พันลบ. เติบโต 17% เทียบจากปีก่อน โต 60% เทียบจากไตรมาสก่อน จากการเติบโตของจำนวนผู้โดยสารและฐานต่ำในไตรมาสก่อนหน้า
นอกจากนี้ ต้นปี 61 มี 3 ประเด็นบวกที่มี Upside risk จะมีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบด้วยการเปิดประมูลพื้นที่เชิงพาณิชย์ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (BKK) ทุก 5% ของส่วนแบ่งรายได้จากการประมูลที่สูงกว่าคาดจะทำให้ราคาเป้าหมายสูงขึ้น 2 บาท ทั้งนี้ บล.โนมูระ พัฒนสิน ใช้สมมติฐานส่วนแบ่งรายได้ที่ 25% เพิ่มขึ้นจากสัญญาเดิมอยู่ที่ 20%
รวมทั้งการรับดำเนินการท่าอากาศยานภูมิภาคต่อจากกรมท่าอากาศยาน (ท.ย.) และการเปิดให้ผู้สนใจเช่าที่ดินข้างสนามบินสุวรรณภูมิ (BKK) เพื่อพัฒนาโครงการ