
คลังจับมือ 3 สมาคมอสังหาฯผลักดันมาตรการรัฐ หวังระบายสต๊อกคงค้างท้ายปี
คลังจับมือ 3 สมาคมอสังหาฯผลักดันมาตรการรัฐ หวังระบายสต๊อกคงค้างท้ายปี
นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (ปฎิบัติงานกระทรวงการคลัง) เปิดเผยว่า หารือผู้บริหารธนาคารอาคารสงเคราะห์ ผู้บริหารสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย, สมาคมอาคารชุดไทย , สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร และผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งขนาดเล็ก กลาง ขนาดใหญ่ เพื่อผลักดันให้มาตรการอสังหาริมทรัพย์ฯ และช่วยระบายสต๊อกคงค้างของผู้ประกอบการไม่ให้ทรุดตัวลงไปมากกว่าปัจจุบัน ภาคเอกชนขอให้กระทรวงการคลังประสานกระทรวงหาดไทย เรื่องประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา การขอให้กระทรวงการคลังประสานกัน ธปท.ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ LTV เฉพาะกลุ่มของสินค้าซื้อบ้านจาก ธอส. วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อให้ขอกู้ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท
ด้านนางอาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ยอมรับว่า ภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้จะไม่ขยายตัว แม้ว่าจะมีมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐออกมา เนื่องจากยอดขายในไตรมาส 2-3 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะยอดขายคอนโดมิเนียมปรับตัวลดลงถึง 20% ขณะที่บ้านจัดสรรอยู่ในระดับทรงตัว และคาดว่าในไตรมาส 3 กลุ่มบ้านจัดสรรจะติดลบเล็กน้อย เนื่องจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
อย่างไรก็ดี มองว่า หากไม่มีมาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์เข้ามา จะส่งผลให้ยอดขายที่อยู่อาศัยในปีนี้ถดถอยจากปีก่อน โดยจะมียอดขายอยู่ที่ 175,000 ยูนิต จากปีก่อนที่มียอดขาย 196,000 ยูนิต
“หากไม่มีมาตรการอะไรเลย คาดว่าอสังหาริมทรัพย์จะทรงตัวในระดับที่ถดถอย และอยากให้รัฐบาลเร่งประสานงานเพิ่มเติมกับ ธปท. เพื่อคลายเกณฑ์ LTV ซึ่งหากทำได้ จะทำให้มีสัญญาณที่ดีขึ้น และหากมาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้เร็ว อาจทำให้เกิดการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคม” นางอาภาระบุ
ขณะที่นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ยอมรับว่า ขณะนี้เกิดสุญญากาศในการโอนที่อยู่อาศัย เนื่องจากประชาชนรอให้มาตรการดังกล่าวมีผลบังคับใช้ อย่างไรก็ดี มีผู้ประกอบการบางรายได้จัดโปรโมชั่นจ่ายค่าโอน และจดจำนองให้กับลูกค้าไปก่อนในอัตรา 0.01% เพื่อจูงใจให้ลูกค้าเร่งโอนก่อนมาตรการมีผล
ทั้งนี้ เมื่อภาคเอกชนได้ร่วมกันจัดแคมเปญใหญ่ บวกกับมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมหลายด้าน ทั้งเฟอร์นิเจอร์, ก่อสร้าง, ตกแต่งภายใน และอีกหลายสาขา ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น จึงคาดว่าปีนี้จะมียอดขายประมาณ 210,000 ยูนิต ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ 196,000 ยูนิต