• https://dewanarsitek.id/var/index/
  • https://ept.metropolitanland.com/
  • https://data.pramukajabar.or.id/
  • http://103.206.170.246:8080/visi/
  • https://mpp.jambikota.go.id/
  • https://lms.rentas.co.id/
  • https://utbis.ollinsoft.com/
  • https://bppsdmsempaja.kaltimprov.go.id/
  • https://fmipa.unand.ac.id/
  • https://sptjm.lldikti4.id/banner/
  • mbokslot
  • https://e-journal.faperta.universitasmuarabungo.ac.id/
  • https://link.space/@splus777
  • https://sptjm.lldikti4.id/storage/
  • https://apps.ban-pdm.id/simulasi/hoaks/
  • https://editoriales.facultades.unc.edu.ar/cache/assets/
  • https://dewanarsitek.id/dewan/
  • https://dms.smhg.co.id/assets/js/hitam-link/
  • https://smartgov.bulelengkab.go.id/image/
  • https://app.mywork.com.au/
  • slotplus777
  • https://heylink.me/slotplussweet777/
  • https://pastiwin777.uk/
  • Mbokslot
  • http://103.81.246.107:35200/templates/itax/-/mbok/
  • https://rsjdahm.id/vendor/
  • https://pastiwin777.cfd/
  • https://rsjdahm.id/Vault/
  • https://heylink.me/Mbokslot.com/
  • https://www.intersmartsolution.com
  • https://sikapro-fhisip.ut.ac.id/
  • ตลาดหุ้นไทยโดนเข้าไปอีกหนึ่งดอก…

    กระแสเรื่องจีนโหมไฟสงครามค่าเงินขึ้นมาครานี้ ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในแวดวงการเงิน-การลงทุน โดยผู้คนส่วนใหญ่ต่างมองว่า การเคลื่อนไหวของแบงก์ชาติจีนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นการสร้างผลกระทบทางอ้อมให้กับประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดเล็ก อย่างร้ายกาจ


    –ตามกระแสโลก–

     

    กระแสเรื่องจีนโหมไฟสงครามค่าเงินขึ้นมาครานี้ ดูเหมือนจะเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในแวดวงการเงิน-การลงทุน โดยผู้คนส่วนใหญ่ต่างมองว่า การเคลื่อนไหวของแบงก์ชาติจีนในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา เป็นการสร้างผลกระทบทางอ้อมให้กับประเทศตลาดเกิดใหม่ขนาดเล็ก อย่างร้ายกาจ

    เริ่มต้นตั้งแต่ วันอังคารที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา ทางการจีนได้ประกาศปรับลดค่าเงินหยวนลง ส่งผลให้เกิดการปรับตัวลดลงเกิน 4% ภายในระยะเวลา 3 วัน จนกระทั่งล่าสุด ได้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญอีกครั้ง ซึ่งนั่นคือการขายทุนสำรองระหว่างประเทศในรูปดอลลาร์สหรัฐฯออกมากว่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว

     

    การตัดขายเงินสำรองต่างประเทศโดยจีน รวมไปถึงประเทศตลาดเกิดใหม่บางแห่ง เป็นมาตรการที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Quantitative Tightening หรือ QT ซึ่งถือเป็นวิธีตรงกันข้ามกับ มาตรการ Quantitative Easing หรือ QE ที่ “เฟด” และ “อีซีบี” นิยมใช้เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องให้กับระบบการเงิน

    โดยการทำ QT ในครั้งนี้ ส่งผลให้ธนาคารกลางจีนสามารถผันเงินจากพันธบัตรสหรัฐฯ ประเภท 10 ปี มาอยู่ในรูปของเงินสดได้กว่า 1.30 ล้านล้านหยวน ซึ่งจีนมีความต้องการนำเงินก้อนนี้มาเพื่อพยุงการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจตัวเอง อีกทั้งเพื่อเป็นการชดเชยการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ และที่สำคัญ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ค่าเงินหยวนถูกถล่มลงไปมากกว่านี้

    หากมองในอีกมุมหนึ่ง การเคลื่อนไหวเที่ยวนี้เปรียบเสมือนจีนกำลังใช้นโยบายทางการเงิน เพื่อโยกเงินบางส่วนมาใช้สำหรับนโยบายทางการคลังเหมือนกัน เพราะรัฐบาลปักกิ่งจะสามารถนำไปใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้บ้าง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นการสอดคล้องกับเป้าหมายในระยะยาวของจีนที่จะลดการพึ่งพาการส่งออก แล้วหันมาเน้นเรื่อง Domestic Growth มากขึ้น

    ตามทฤษฎี จีนจะได้รับประโยชน์จากการทำ QT เป็นอย่างมาก แต่สำหรับประเทศอื่นๆในภูมิภาคซึ่งรวมถึงประเทศไทยเราด้วย คงหลีกหนีไม่พ้นผลกระทบทางค่าเงินที่กำลังตามมาอย่างแน่นอน โดยฝ่ายวิจัยของฝรั่งบางสำนักประเมินว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้นราว 0.30% ต่อทุกๆการขายเงินทุนสำรองที่มีจำนวนเทียบเท่ากับ 1% ของจีดีพีสหรัฐฯ

    ทีนี้แหละ ไอ้เรื่องที่เราผวากันว่า “เฟด” จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ ดูเหมือนจะเริ่มปรากฏเค้าร่างที่ชัดเจนขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อเจ้าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ยิ่งจะเป็นปัจจัยเร้าให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจต้องเทคแอคชั่นขึ้นมาจริงๆ เพื่อให้สอดคล้องกับตัวเลข “พรีเมียม” ที่ปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ

     

    ประเด็นปัญหาสำหรับตลาดหุ้นไทยเรา ก็อยู่ตรงเรื่อง “ฟันด์โฟลว์” ไหลออกเหมือนเดิมนั่นแหละ ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ว่า การทำ QT ของจีนรอบนี้เสมือนเป็นการเพิ่มปัจจัยสนับสนุนให้เฟดต้องทำการปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างจริงจัง ซึ่งตรงนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า สกุลเงินทั่วทั้งภูมิภาคเอเชียจะเคลื่อนไหวในทิศทางของขาลงไปตลอดจนถึงสิ้นปีนี้ เป็นอย่างน้อย

    แต่ก็เอาเถอะ!! ดูแล้วมันไม่น่ากลัวซักเท่าไหร่หรอก เพราะตลาดได้ซึมซับกับประเด็นตรงนี้มาตั้งแต่ต้นปีแล้ว เพราะฉะนั้นหากถามว่า อะไรๆมันจะแย่ลงไปกว่านี้อีกมากหรือเปล่า คำตอบเดียวที่ให้ได้ตอนนี้คือ “ไม่” และแน่นอนว่า เราไม่ควรไปตื่นตระหนกตกใจจนเกินไปกับเรื่องที่มันอยู่ไกลตัวเรา เนื่องจากมันยากต่อการที่จะไปควบคุม

    ณ ตอนนี้ สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญมากที่สุดคือ หาทางทำอย่างไรก็ได้ ให้เครื่องยนต์ทั้ง 4 ตัวของเศรษฐกิจบ้านเรากลับมาเดินหน้าได้เต็มกำลังอีกครั้งหนึ่ง

    สัปดาห์หน้า มีประเด็นต้องจับตามองคือ อาจมีการปรับลดเป้าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเกิดขึ้น ซึ่งตรงนี้ เราต้องระวังกันหน่อย เพราะ “ค่าพีอี” ของหุ้นไทยจะปรับตัวสูงขึ้นหากมีการปรับเป้าขึ้นมาจริงๆแล้วสิ่งที่อาจเกิดขึ้นตามมาก็คือ การชะลอการลงทุน นั่นเอง!!    

    Back to top button