“ดาวโจนส์” ปิดร่วงเกือบ 1 พันจุด ผวา “เฟด” ขึ้นดอกเบี้ย 0.5% พ.ค.นี้

“ดัชนีดาวโจนส์” ปิดร่วง 981.36 จุด เซ่นงบบจ.ต่ำคาด รวมถึงผลกระทบจากการที่ “เฟด” จะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในช่วง พ.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงอย่างหนักในวันศุกร์ (22 เม.ย.) โดยถูกกดดันจากการที่บริษัทจดทะเบียนในสหรัฐคาดการณ์ผลประกอบการที่อ่อนแอกว่าคาด และนักลงทุนวิตกว่า เศรษฐกิจสหรัฐจะได้รับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,811.40 จุด ร่วงลง 981.36 จุด หรือ -2.82%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,271.78 จุด ร่วงลง 121.88 จุด หรือ -2.77% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,839.29 จุด ร่วงลง 335.36 จุด หรือ -2.55%

ขณะที่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ ลดลง 1.9%, ดัชนี S&P500 ลดลง 2.8% และดัชนี Nasdaq ลดลง 3.8%

ทั้งนี้ นับเป็นสัปดาห์ที่ 3 ติดต่อกันแล้วที่ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง ขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน

นอกจากนี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังร่วงลงในวันศุกร์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค. 2563

นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับความเสี่ยงจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดกล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (21 เม.ย.) ว่า เขาสนับสนุนให้เฟดดำเนินการเร็วขึ้นเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ และระบุว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ค.

ด้านตลาดการเงินคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมทั้งในเดือนพ.ค.และมิ.ย.

ทั้งนี้หากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ค.ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% นับตั้งแต่ปี 2543

โดยดัชนีความผันผวน CBOE หรือ CBOE Volatility Index (VIX) ซึ่งเป็นมาตรวัดความวิตกของนักลงทุนในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท พุ่งขึ้นในวันศุกร์ แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนมี.ค.

นอกจากนี้ การคาดการณ์ผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทในกลุ่มเฮลท์แคร์กดดันตลาดลงด้วย โดยหุ้นเอชซีเอ เฮลท์แคร์ และหุ้นอินติวทีฟ เซอร์จิคอล อิงค์ ปรับตัวลงมากที่สุดในดัชนี S&P500

ขณะที่หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มวัสดุ ร่วง 3.7% และกลุ่มเฮลท์แคร์ ร่วง 3.6%

ด้านหุ้นฟรีพอร์ต-แมคโมแรน อิงค์ ร่วง 6.8% เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลกระทบต่อเหมืองทองแดง

โดยตลาดยังถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจในวันศุกร์ด้วย โดยเอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.1 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 เดือน จากระดับ 57.7 ในเดือนมี.ค.

ส่วนในสัปดาห์หน้า ตลาดจะจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทรายใหญ่ที่สุด 4 แห่งของสหรัฐ ได้แก่ แอปเปิล, ไมโครซอฟท์, แอมะซอน และอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล

Back to top button