KBANK และหุ้นธนาคารที่ราคาถูกเกิน

หุ้นกลุ่มธนาคารกลายเป็นหุ้นที่โดดเด่นในยามสัปดาห์นี้จนได้ แม้ว่าแรงซื้อที่เข้ามาจะช่วยดันให้มูลค่าของตลาดหุ้นโดยรวมดีขึ้นจากแรงซื้อที่หนุนเนื่อง


หุ้นกลุ่มธนาคารกลายเป็นหุ้นที่โดดเด่นในยามสัปดาห์นี้จนได้ แม้ว่าแรงซื้อที่เข้ามาจะช่วยดันให้มูลค่าของตลาดหุ้นโดยรวมดีขึ้นจากแรงซื้อที่หนุนเนื่อง เผลอแผล็บเดียวดัชนีตลาดหุ้นหรือ SET ทำท่าจะทะลุขึ้นมาที่เหนือแนวต้านจิตวิทยาที่ 1,700 จุดอีกครั้ง

แรงซื้อที่เข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นเรื่องเข้าใจกันได้เพราะคาดเดาผลประกอบการว่าจะดีเด่นสุดยอดต่อเนื่องจากไตรมาสสามที่ทะลุเพดานขึ้นมาโดดเด่น ทั้งจากการเติบโตของตัวเลขสินทรัพย์ สินเชื่อ ที่สวนทางกับหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ทำท่าทรงตัวมานานหลายไตรมาส

เป็นที่ทราบกันดีว่าเวลาที่แบงก์พาณิชย์ของไทย กำหนดเป้าหมายการเติบโตของปีมักจะกำหนดง่าย ๆ จากอัตราการเติบโตของจีดีพีบวกเข้าไปอีก 5% แต่ล่าสุด 3 ไตรมาสที่ผ่านมา อัตราการเติบโตของสินเชื่อธนาคารพาณิชย์ อย่าง KBANK ที่เป็นธนาคารที่โดดเด่นที่สุดในการทำกำไร ก็ปาเข้าไปถึง เกินเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้มากมาย แต่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าบุ๊กแวลูถึงเกือบ 70 บาท หรือกว่า 30% ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว

ราคาที่ต่ำกว่าบุ๊กเกินมากเกินทนนอกจากสะท้อนความไม่สมเหตุสมผลของความสามารถทำกำไร เทียบกับราคาตลาด นั่นคือโอกาสที่ราคาหุ้นจะฟื้นตัวรุนแรงในลักษณะ breaking out ในยามที่เศรษฐกิจเงยหัวเป็นขาขึ้นจากจุดต่ำสุด

แม้ว่าการขยับขึ้นของราคา หุ้นที่ซื้อขายบนหน้ากระดานล่าสุด จะส่อเค้าว่ามาแรง แต่ราคาก็ถือว่ายังต่ำเกินเมื่อเทียบกับความสามารถในการทำกำไรจากธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ทั้งจากตลาดสินเชื่อ ตลาดบริโภค และการลดต้นทุนด้วยการปลดพนักงานออกบางส่วน สวนทางกับการโอนย้ายธุรกรรมของลูกค้าไปอยู่บนเครือข่ายออนไลน์มากขึ้นอย่างอัตราเร่ง

การที่ราคาขึ้นโดยไม่ต้องรอผลประกอบการไตรมาสสุดท้ายและงวดสิ้นปีของหุ้นกลุ่มธนาคารจึงมีเหตุผลรองรับถึงพฤติกรรมของ “คุณตลาด” ที่เข้าใจกันได้ ไม่ว่าในสถานการณ์อะไร……ว่าเป็นการเก็งกำไรและรับเงินปันผลในช่วงไตรมาสแรกของปีจากราคาหุ้นที่ต่ำเกินจริง

ตามปกติแล้วถือกันว่าไตรมาสสามของหุ้นกลุ่มธนาคารจะเป็นช่วงที่ราคาและกำไรของงบการเงินต่ำสุดของปี แต่ในปีนี้เป็นปีที่พิเศษและไม่ปกติ ดังนั้น การที่แม้รายได้จากค่าธรรมเนียมจะตกต่ำลงจากโควิด-19 ที่ยังอาละวาดอยู่ แต่ก็ถือได้ว่ากลุ่มธนาคารและเครือข่ายบริการทางการเงินได้รับอานิสงส์จากสถานการณ์ที่เปิดกว้างให้มากกว่ากลุ่มอื่น ๆ จึงฟื้นคืนกำไรได้ดี และไตรมาสสุดท้ายถือเป็นโอกาสทอง

ถึงแม้ผู้บริหารของธนาคาร KBANK เมื่อไตรมาสสาม จะยังคงมีท่าทีระมัดระวังจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในภาพรวมได้กล่าวซ้ำซากว่า “ธนาคารและบริษัทย่อยจะยังคงประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เตรียมความพร้อมอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของสินเชื่อ รวมทั้งความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ” แต่ข้อเท็จจริงที่งบการเงินของธนาคารแห่งนี้ กลับสะท้อนถึงประโยชน์ของขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยช่วงเงินเฟ้อพุ่งขึ้นสู่ระดับใหม่ หรือช่วงกอบโกยทางกำไรที่เป็นขาขึ้น ที่เติบโตจากไตรมาสก่อนหน้าถึง 23% ก็ทำให้ไม่มีใครแยแสเท่าใดนัก

นอกจากย้ำให้เห็นถึงโอกาสของการฟื้นตัวจากภาวะถดถอยของยุคโควิด -19 แล้วยังสะท้อนถึงโอกาสที่ฉกฉวยเข้ามาอย่างง่าย ๆ กำไรสุทธิจากดอกเบี้ยที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องทำให้บุ๊กแวลูของธนาคารเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ราคาหุ้นที่ซื้อขายบนกระดานที่นักวิเคราะห์ให้เป็น “ท็อปพิก” ยังคงมีราคาต่ำเตี้ยต่อไป เมื่อบรรดากองทุนและต่างชาติพากันเล่นรอบกับราคาหุ้นกลุ่มนี้ในจังหวะของการที่ค่าเงินบาททรุดตัวต่อเนื่องช่วงปลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อค่าบาทกลับแข็งค่าขึ้นมาอยู่ที่แถว ๆ ใต้ 35.50 บาทต่อดอลลาร์แรงซื้อกลับคืนมาอีก

การกลับมาของต่างชาติและสถาบันที่ทำให้มูลค่าซื้อขายประจำวันของตลาดระดับปกติ 3.5-4.0 หมื่นล้านบาทต่อวันพุ่งสูงขึ้นมากถึง 7.8 หมื่นล้านบาทต่อวัน ต่อเนื่องจนถึงวันวานที่ผ่านมา ทำให้ดัชนีพุ่งผ่านแนวต้านขึ้นมาเหนือ 1,690 จุดได้วานนี้ แล้วก็อาจจะพุ่งขึ้นไปเหนือ 1,700 จุดได้ไม่ยาก สะท้อนจากความมั่นใจในหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นหลัก

บรรยากาศที่เปลี่ยนไปของอารมณ์ “คุณตลาด” ในหุ้นกลุ่มธนาคารในช่วงเทศกาลประกาศงบการเงิน แล้วหากตามมาด้วยการใจป้ำจ่ายปันผลสวย ๆ ชนิดเทกระจาด อาจจะส่งผลจิตวิทยาให้บรรดานักลงทุนที่เคยเกรงไปว่าผลจากต่างชาติขายหุ้นทิ้งจนบาทอ่อนยวบน่าจะส่งผลให้ราคาหุ้นบลูชิพทั้งหลายยังคงต่ำเตี้ยไปอีกยาวนาน แม้ผลประกอบการจะยังสวนทางกัน…เลิกกลัวไปได้ชั่วคราว

แนวโน้มที่นักวิเคราะห์และผู้บริหารแสดงความมั่นใจว่า หุ้นกลุ่มธนาคาร การเงินและหุ้นหลักโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มไฟฟ้าทางเลือก จะมีกำไรสุทธิมากกว่าครึ่งแรกของปีจากดอกเบี้ยขาขึ้นเป็นหลัก แล้วส่งเสริมด้วยมาตรการเปิดประเทศหลังโควิดที่ช่วยให้ภาคการค้าสินค้าและภาคท่องเที่ยวมีเงินสะพัดมากขึ้น และภาคการผลิตที่จะฟื้นตัวขึ้นมาจากธุรกิจรถยนต์และการลงทุนใหม่ ๆ ที่จะช่วยให้ลืมความหวาดผวาต่ออนาคต

สำหรับหุ้น KBANK ที่รับอานิสงส์จากการที่กำไรโดดเด่นในไตรมาสสามทำให้ล่าสุดมีราคาตามบุ๊กอยู่ที่ 211 บาทเพิ่มขึ้นมาจากสิ้นไตรมาสสอง ที่อยู่ในระดับแค่เพียง 206.50 บาท ……ถือว่าโดดเด่นสุดในมุมมองยามนี้

ในขณะที่หุ้นตัวที่ราคาต่ำสุดอย่าง CIMBT ที่ราคาสุดกระโดดขึ้นจากราคาที่เคยต้วมเตี้ยมที่ระดับ 0.83-0.84 บาทมาอยู่ที่แถว ๆ 0.89 บาท ก็ถือว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะบุ๊กยังคงอยู่แถว ๆ 1.40 บาท

เผลอ ๆ ……อาจจะได้เห็นเศรษฐีใหม่จากคนที่ถือหุ้นธนาคารที่ราคาแสนต่ำตัวนี้ก็ได้

Back to top button