สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจวันนี้

สรุปปัจจัยสำคัญตลาดทุน-การเงิน-เศรษฐกิจประจำวันที่ 17 ธ.ค.58


– ช่วงเย็นนี้ เงินเยนอยู่ที่ระดับ 122.30/51 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 122.50 เยน/ดอลลาร์

– ส่วนเงินยูโร เย็นนี้อยู่ที่ระดับ 1.0838/0871 ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0843 ดอลลาร์/ยูโร

– ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,310.34 เพิ่มขึ้น 11.22 จุด หรือ 0.86% โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 45,610 ล้านบาท         

– สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 3,397.20 ล้านบาท (SET+MAI)

 

– ศึกประมูล 4G คลื่น 900 MHz ในวันนี้ยังคงดำเนินต่อไปเป็นวันที่สาม ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือยังสู้ราคากันอย่างดุเดือด ส่งผลให้ราคาประมูลใบอนุญาต 2 ใบในวันนี้ทะลุ 1 แสนล้านบาทไปแล้ว โดยล่าสุดเป็นการประมูลรอบที่ 133 เคาะใบแรกที่ 55,046 ล้านบาท และใบสอง 57,300 ล้านบาท และคาดว่าการประมูลจะยังคงสู้กันต่อไปข้ามคืนนี้เพื่อเข้าสู่วันที่สี่

– นายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เผยกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ปรับขึ้นดอกเบี้ยว่า เป็นไปตามคาดการณ์ ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ อีกทั้งเป็นการปรับขึ้นตามอัตราที่คาดไว้คือ 0.25% หากปรับเพิ่มมากกว่านี้ก็อาจทำให้คนตกใจบ้าง ขณะที่ประเทศไทยมีการเตรียมความพร้อมไว้หมดแล้ว

โดยก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มาก่อนเกือบ 2 ปีแล้ว ดังนั้นเมื่อเกิดเหตการณ์ขึ้นจริงและไม่ได้เหนือความคาดหมาย จึงเชื่อว่า ธปท.จะมีมาตรการที่เตรียมพร้อมรองรับผลกระทบในด้านต่าง ๆ ไว้แล้ว โดยเฉพาะการดูแลความผันผวนของการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่กังวลว่าอาจะเกิดขึ้นในระยะต่อไป แต่ขณะนี้ยังไม่มีสัญญาณเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น

– นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เผยกรณีเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยว่า ตลาดรับข่าวเรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เพราะช่วงที่ผ่านมาเฟดได้อธิบายกับตลาดอย่างต่อเนื่อง และหลายส่วนคาดการณ์มาก่อนแล้วถึงการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ และยังเชื่อว่าเฟดจะคำนึงถึงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ดังนั้นวิธีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป

ส่วนผลกระทบโดยเฉพาะเรื่องการเคลื่อนย้ายเงินทุนกับไทยนั้นอาจยังไม่ชัดเจนมากนัก แต่ยอมรับว่าการปรับชึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในขณะที่ธนาคารกลางหลายประเทศสำคัญยังส่งสัญญาณการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบ และคงใช้มาตรการการเงินแบบผ่อนคลาย จะมีผลในแง่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ยของตลาดพันธบัตร ซึ่งในส่วนนี้จะกระทบกับประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่

– นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี คาดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปี 58 จะโต 2.9-3% ส่วนปี 59 ขยายตัว 3.5-4% เป็นผลมาจากมาตรการภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว

– นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เผยเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อประเทศไทย เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจด้วยการสร้างความเข้มแข็งในประเทศไว้แล้ว ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไทยนั้นคงต้องขึ้นกับปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลกที่ไม่สามารถคาดเดาได้เป็นสำคัญ ซึ่งในส่วนนี้ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลังได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

– นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ เผยกรณีเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไม่ส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากมีภูมิคุ้มกันทางเศรษฐกิจที่ดี และไม่คิดว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ ประเทศไทยมีภูมิคุ้มกันมาตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทก็เปลี่ยนแปลงสอดคล้องกับภูมิภาค

– ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประกาศแผนงานปี 59 วางกลยุทธ์หลักเพื่อนำไปสู่ S-Curve ใหม่ โดยเฉพาะการขยายฐานและพัฒนาคุณภาพบริษัทจดทะเบียน รวมถึงสร้างความแข็งแกร่งให้ SMEs โดยตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดของหลักทรัพย์จดทะเบียนใหม่ 270,000 ล้านบาท ทั้งจากบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรม (Industry Leader) รัฐวิสาหกิจ และบริษัทต่างชาติทั้งในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขงและอื่นๆ พร้อมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและโอกาสทางธุรกิจให้กับ SMEs และตั้งเป้าเพิ่มมูลค่าตามราคาตลาดจากบริษัทหลักทรัพย์จดทะเบียนที่มีอยู่อีก 255,000 ล้านบาท

– ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดฉากการประชุมนโยบายการเงินที่มีกำหนด 2 วันในวันนี้ โดยคาดว่า BOJ จะคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินในปัจจุบันต่อไป ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ในตลาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะลดลง

– กระทรวงการคลังญี่ปุ่น เผยยอดเกินดุลการค้าเดือน พ.ย.อยู่ที่ 3.7972 แสนล้านเยน (3.1 พันล้านดอลลาร์) เนื่องจากยอดส่งออกเหล็กและวัสดุประเภทอื่นๆ ปรับตัวลดลง ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและประเทศอื่นๆ ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ทั้งนี้มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ย.ร่วงลง 3.3% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 5.98 ล้านล้านเยน ขณะที่ยอดนำเข้าดิ่งลง 10.2% สู่ระดับ 6.36 ล้านล้านเยน

 

ที่มา: สำนักข่าวอินโฟเควสท์

Back to top button