4 หุ้น “พลังงาน” เน้นย่อซื้อ! รับน้ำมันดิบโลกขาขึ้น
บล.เอเชีย พลัส ทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาในหุ้น PTT- PTTEP- TOP- SPRC เนื่องจากรับอานิสงส์ทิศทางน้ำมันดิบโลกเป็นขาขึ้น
นับตั้งแต่เดือน ก.ค.66 จนถึงปัจจุบัน ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับขึ้น 26% ขณะที่วานนี้ยังปรับตัวขึ้นต่อราว 0.5% อยู่ระดับ 86 เหรียญฯ ซึ่งราคาน้ำมันดิบ WTI มีโมเมนตัมไปต่อในกรอบ 85-100 เหรียญฯ ทั้งเห็นสัญญา CALL OPTION น้ำมันดิบ WTI มีปริมาณมากสุดนับแต่เดือน พ.ค.66 อยู่ที่ 1.3 แสนสัญญา และยังได้รับปัจจัยสนับสนุนมีอยู่ 3 เหตุผลหลักๆ ดังนี้
- Fed มีโอกาสคงดอกเบี้ยไว้ที่ 5.50% ในการประชุมเดือน ก.ย.66 และมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยตั้งแต่ต้นปี 2567
- คาดหวัง เศรษฐกิจจีนเติบโตในอนาคต หลังรัฐบาลจีนส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ทั้งการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ รวมถึงในการประชุม POLITBURO ได้ประกาศช่วยเหลือในหลายภาคส่วน
- OPEC+ อาจขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตต่อไป ซึ่งวันศุกร์นี้จะมีการประชุม OPEC แถลงถึงวิสัยทัศน์การปรับเพิ่ม/ลดกำลังการผลิตในอนาคต
ขณะที่หุ้นอิงราคาน้ำมันในประเทศไทย ราคาขยับตัวขึ้นได้น้อยกว่ามาก โดยรับแรงกดดันมาตรการลดราคาพลังงานของรัฐ และล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (รองนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน) ให้สัมภาษณ์ถึงแนวทางการลดราคาพลังงานเมื่อวันที่ 4 ก.ย.66 ว่าเรื่องหลักๆ ที่ต้องเร่งดำเนินการ คือ ราคาน้ำมันและราคาไฟฟ้า มีองค์ประกอบของราคาหลายอย่าง เช่น ภาษี ค่าการตลาด ภาระการเงินและเงินกู้ บางองค์ประกอบไม่สามารถควบคุมได้ เช่น ต้นทุนของก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้า หรือต้นทุนของราคาน้ำมันดิบ แต่สิ่งที่พิจารณาดำเนินการได้คือโครงสร้างและองค์ประกอบมารวมกันจนเป็นราคาขายจะต้องมาดูว่าส่วนไหนสามารถตัดทิ้งหรือปรับลดได้ จะทำทั้งหมด เมื่อค่าใช้จ่ายลดลง ราคาของพลังงานต่างๆ ก็จะปรับลดลงได้ เพื่อให้เหมาะสมและเป็นธรรมกับประชาชน
นอกจากนี้ยังกล่าวถึงนโยบายหลักสำคัญอีกประการหนึ่ง ควรจะให้โอกาสเสรีในการหาน้ำมันสำเร็จรูป ที่ไม่ใช่การนำน้ำมันดิบเข้ามากลั่นจนทำให้มีต้นทุน ค่าใช้จ่ายที่ควบคุมลำบาก แต่หากเป็นการนำน้ำมันสำเร็จรูปไม่ต้องมีค่าการกลั่นหรือค่าใช้จ่ายอื่น เพราะราคาทุกอย่างคำนวณจบแล้ว หากใครสามารถนำพลังงานราคาถูกเข้ามาได้ก็ควรเปิดโอกาสให้ทำได้ ภาครัฐควรเป็นผู้กำกับดูแลให้การจัดหาพลังงานเป็นไปโดยสะดวกและรวดเร็วซึ่งประเด็นต่างๆดังกล่าว ส่วนใหญ่จะเป็นการปรับตัวของภาครัฐว่าจะดำเนินนโยบายอย่างไรเพื่อลดราคาพลังงานสำหรับในส่วนของตัวแปรที่ควบคุมได้ เช่น ภาษีต่างๆเพราะการปรับตัวดังกล่าวจะกระทบรายได้ของภาครัฐเป็นหลัก
สำหรับในส่วนของนโยบายการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปเสรี เป็นอีกประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เพราะไม่เคยถูกหยิบยกมาพูดถึงหรือดำเนินการในรัฐบาลที่ผ่านๆมาเลย ซึ่งในทางปฏิบัติการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปอาจเกิดขึ้นได้ยาก เพราะมีข้อจำกัดในหลายด้านทั้งการขนส่งทั้งทางรถ ทางเรือ และทางท่อ รวมถึงการคำนวณภาษีนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งเมื่อรวมต้นทุนทั้งหมดแล้วยังได้เปรียบจากการซื้อน้ำมันในประเทศหรือไม่อีกทั้งน้ำมันสำเร็จรูปที่ใช้ในประเทศปัจจุบันถูกควบคุมโดยกระทรวงพลังงานโดยเฉพาะภาคขนส่งจะมีมาตรฐานต่างๆ กำหนดออกมา เช่นในปัจจุบันใช้น้ำมันสำเร็จรูปที่มีมาตรยูโร 5 เพื่อควบคุมมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
ดังนั้นการเปิดให้นำเข้าน้ำมันเสรีได้นั้น กระทรวงพลังงานจะสามารถควบคุมการนำมาใช้ได้อย่างมีมาตรฐานหรือไม่ ยังถือเป็นประเด็นที่ต้องพิจารณา แต่อย่างไรก็ตามประเด็นการเปิดเสรีน้ำมันสำเร็จรูปดังกล่าวอาจกดดันต่อหุ้นกลุ่มโรงกลั่นช่วงสั้นได้จนกว่ามีสรุปนโยบายที่ชัดเจน เพราะหากเปิดเสรีจริงก็จะกระทบต่อการขายน้ำมันจากโรงกลั่นในประเทศได้
สรุป ฝ่ายวิจัยจากบล. เอเชีย พลัส ประเมินว่าราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสทรงตัวในระดับสูงต่อไป ตามปัจจัยที่กล่าวข้างต้น ขณะที่ราคาน้ำมันดิบในไทยยังต้องรอสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นจาก รมต.พลังงาน เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ลดราคาน้ำมัน และ ไฟฟ้า ได้ยาก ดังนั้นกลยุทธ์ช่วงสั้นในการลงทุน ยังเน้นลงทุนในกลุ่มหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์
อย่างไรก็ตามจากทิศทางน้ำมันดิบโลกเป็นขาขึ้น หุ้นที่ได้รับประโชน์อย่าง บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT, บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP, บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และ บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC เป็นต้น โดยทยอยซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมา