“บล.พาย” มอง SET สัปดาห์นี้แกว่งกรอบแคบ แนะกลุ่มส่งออก-นิคมฯ รับแรงซื้อหนุน

บล.พาย คาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,120–1,160 จุด รับแรงหนุนเจรจาการค้าไทย–สหรัฐฯ แนะลงทุนหุ้นส่งออก (ITC, TU), นิคมฯ (AMATA, WHA), กลุ่มกำไรมั่นคง (BDMS, BBL, KTB) และหุ้นเด่นรายตัว (OSP, CBG, MINT)


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 มิ.ย. 2568) บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi ประเมินตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้ มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1,120 – 1,160 จุด โดยได้แรงหนุนจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างไทยและสหรัฐฯ

สำหรับบรรยากาศการลงทุนโลกเริ่มผ่อนคลาย หลังดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ของสหรัฐฯ เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา ปรับตัวเพิ่มขึ้น 443.13 จุด หรือ +1.05% ปิดที่ 42,762.87 จุด หนุนโดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payroll) ที่ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ของ Bloomberg Consensus ที่ 125,000 ราย โดยตัวเลขจริงอยู่ที่ 139,000 ราย ขณะที่อัตราการว่างงานอยู่ที่ 4.2% สอดคล้องกับคาดการณ์ตลาด

ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ปรับเพิ่มขึ้น +1.7% จากความเชื่อมั่นในอุปสงค์ ขณะที่ Dollar Index แข็งค่าต่อเนื่อง ส่วนราคาทองคำปรับลดลง

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญที่ต้องติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สหรัฐฯ วันที่ 12 มิ.ย. คาด 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) วันที่ 13 มิ.ย. คาด 2.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ ล่าสุดกระทรวงการต่างประเทศเปิดเผยว่า สหรัฐฯ แสดงความพร้อมในการสนับสนุนเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน ในการประสานกับหน่วยงานของสหรัฐฯ เพื่อกำหนดวันเจรจาการค้าอย่างเป็นทางการ โดยฝ่ายไทยจะส่ง นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าคณะเจรจา

ทั้งนี้ บล.พาย ระบุว่า แม้ดีลการค้าจะช่วยหนุนหุ้นกลุ่มส่งออกและนิคมอุตสาหกรรมในระยะสั้น แต่ยังไม่ใช่ปัจจัยหลักที่จะเปลี่ยนแนวโน้มตลาดในระยะกลางถึงยาว เนื่องจากภาคท่องเที่ยวยังมีแรงกดดัน และภาพรวมกำไรบริษัทจดทะเบียนยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน

ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ รายงาน เงินเฟ้อทั่วไป (Headline CPI) เดือน พ.ค. อยู่ที่ -0.57% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ลดลงจากราคาผักสด ผลไม้ และพลังงาน

กลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นปัจจัยข้างต้นจะเข้ามาเป็นปัจจัยสนับสนุนการลงทุนในตลาดหุ้นและมองเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มส่งออก ได้แก่ บริษัท อินเตอร์ ฟาร์มา จำกัด (มหาชน) หรือ ITC และ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU

กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA และ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA

หุ้นกลุ่มอื่นๆเน้นกำไรไม่ผันผวนมากนักกับภาวะเศรษฐกิจ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL, ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK, ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB

รวมถึงหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ได้แก่ บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP, บริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG และบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT

Back to top button