
“นายก” มอบนโยบายทูตไทยทั่วโลก ปรับบทบาทเชิงรุก-เร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
นายกฯ “แพทองธาร” กล่าวมอบนโยบายในการประชุมทูตไทยทั่วโลก ย้ำปรับบทบาทการทำงานเชิงรุก โดยเฉพาะเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ผ่าน FTA
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (9 มิ.ย.68) กระทรวงการต่างประเทศ จัดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก ประจำปี 2568 ที่โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายผ่านบันทึกวีดิทัศน์ ในพิธีเปิดการประชุม ภายใต้หัวข้อ “การทูตเชิงรุกที่ตอบโจทย์ประชาชน: จากนโยบายสู่การปฏิบัติ”
นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำบทบาทสำคัญของกระทรวงการต่างประเทศ รวมถึงสถานเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ ในฐานะ “ด่านหน้า” ของประเทศไทยบนเวทีโลก ท่ามกลางบริบทโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างหลายขั้วอำนาจ (Multipolar World) ขณะที่ระบบพหุภาคีกำลังอ่อนแรงลง และการแข่งขันระหว่างมหาอำนาจในด้านการค้า เทคโนโลยี และทรัพยากรทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือระหว่างประเทศ เศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้
โดยในโอกาสนี้ นางสาวแพทองธาร ได้เน้น 2 แนวทางสำคัญ ได้แก่ การเสริมสร้างและต่อยอดจุดแข็งของประเทศ และการแสวงหาและคว้าโอกาสใหม่ ๆ อย่างฉับไว
นายกรัฐมนตรี ชี้ว่าไทยมีจุดยืนทางการทูตที่ชัดเจน คือ “เป็นมิตรกับทุกฝ่าย” และมุ่งมั่นทำงานร่วมกับนานาประเทศเพื่อส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน ซึ่งช่วยรักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมเปิดโอกาสในการเติบโตใหม่ ๆ
นางสาวแพทองธาร ยังกล่าวถึงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 46 ปี 2568 ว่า นโยบายของไทยมีทิศทางสอดคล้องกับอาเซียนในหลายด้าน เช่น การเสริมสร้างภูมิภาคให้เข้มแข็ง การหาเพื่อนและพันธมิตรใหม่ การยึดมั่นในพหุภาคีนิยม การรับมือกับความท้าทาย และการดำเนินนโยบายที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเห็นว่า ไทยควรขับเคลื่อนการทูตเชิงรุกให้มีความเป็นเอกภาพและคล่องตัวมากขึ้น
“รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก โดยเฉพาะการเร่งจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศหรือกลุ่มประเทศเป้าหมาย เพื่อรักษาโอกาสในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว พร้อมใช้โอกาสนี้ในการสตาร์ทเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจใหม่ ผ่านการดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายและอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์แห่งอนาคต และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ควบคู่กับการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนไทยให้มีความอยู่ดีกินดี มีรายได้ที่มั่นคง” นางสาวแพทองธาร ระบุ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ โดยใช้จุดแข็งด้านภูมิศาสตร์ของไทย สร้างความเชื่อมโยงทางบก-น้ำ-อากาศ อาทิ โครงการ Landbridge รวมถึงการอำนวยความสะดวกในการลงทุน ปรับปรุงกฎระเบียบ พัฒนาทักษะแรงงาน และยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ เพื่อวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับอนาคต
นายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า ขอให้ที่ประชุมใช้โอกาสนี้ ร่วมกันกำหนดแนวทางและกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนการต่างประเทศของไทยตามแนวนโยบายรัฐบาล ในบริบทโลกที่กำลังแปรผันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ไทยยังคงเป็นผู้เล่นสำคัญ (relevant player) ในประชาคมโลก และนำมาซึ่งผลประโยชน์ต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที พร้อมนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เสริมจุดแข็งผ่าน Soft Power กระตุ้นการค้าการลงทุน การท่องเที่ยว และยกระดับบทบาทไทยในภูมิภาคและเวทีระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ การประชุมฯ ดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-14 มิถุนายน 2568 เพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่แลกเปลี่ยนความเห็นกับหน่วยงานต่าง ๆ เกี่ยวกับทิศทางการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ภายใต้บริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงและผันผวนอย่างมาก
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวมอบนโยบายว่า การประชุมครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของโลก ซึ่งกำลังเปลี่ยนผ่านสู่โครงสร้างอำนาจแบบหลายขั้ว (Multipolar World) เป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันอาจนำไปสู่ภาวะไร้เสถียรภาพ ทั้งด้านการเมือง ความมั่นคง และเศรษฐกิจ ในสถานการณ์เช่นนี้ ประเทศต่าง ๆ ต้องเร่งปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง ไทยจึงต้องประเมินผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาวให้รอบด้าน มากกว่าการรับมือเฉพาะมาตรการตอบโต้ทางภาษี พร้อมปรับกลยุทธ์นโยบายต่างประเทศให้ชัดเจน สอดคล้องกับบริบทโลก เพื่อให้ประเทศไทยสามารถแสวงหาประโยชน์สูงสุด และรักษาจุดยืนที่แข็งแกร่งบนเวทีระหว่างประเทศ
นายมาริษ ยังเน้นย้ำหลักการดำเนินนโยบายต่างประเทศของไทยในยุครัฐบาลชุดนี้ ซึ่งให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Balance) กับมหาอำนาจหลัก และการเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับมหาอำนาจรอง เพื่อกระจายความเสี่ยง (Multiple Alignment) โดยคงจุดแข็งของไทยในการไม่เลือกข้าง พร้อมปกป้องผลประโยชน์แห่งชาติอย่างยืดหยุ่นและยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ไทยยังมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมกำหนด “ระเบียบโลกใหม่” ผ่านเวทีระหว่างประเทศ อาทิ OECD และ BRICS โดยแสดงบทบาทเป็นผู้เชื่อมโยงขั้วอำนาจต่าง ๆ ส่งเสริมสันติภาพ และยืนหยัดบนหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ตัวอย่างที่ชัดเจน เช่น ท่าทีของไทยต่อวิกฤตเมียนมา และการแก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ รวมถึงความร่วมมือด้านความมั่นคงทางอาหารและสาธารณสุข ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมจากนานาประเทศ
ในด้านเศรษฐกิจ นายมาริษ ระบุว่า รัฐบาลเดินหน้าการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก ผ่านการขับเคลื่อนเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นความต้องการของโลก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) และหุ่นยนต์อัจฉริยะ (Robotics)
โดยรัฐบาลมุ่งดึงดูดการลงทุนใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ เซมิคอนดักเตอร์, อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ, แบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้า, ฐานชีวภาพ (BCG), ดิจิทัลและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์, ศูนย์ธุรกิจระหว่างประเทศ และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องใหม่ในบริบทเศรษฐกิจโลก ควบคู่กับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ศูนย์กลางการบิน, โครงการ Landbridge, เขตเศรษฐกิจการเงิน (Financial Hub) และปรับปรุงกฎระเบียบด้านเศรษฐกิจเพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลง อาทิ ข้อตกลงการค้าเสรี (FTA), OECD, ระเบียบ AI
ขณะเดียวกัน ไทยยังต้องรักษาเครื่องยนต์เศรษฐกิจเดิม เช่น การท่องเที่ยว การส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมยานยนต์แบบสันดาป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอัญมณี เพื่อสร้างรายได้ให้ประชาชนอย่างทั่วถึง
ท้ายที่สุด นายมาริษ แสดงความคาดหวังว่า ผลจากการประชุมครั้งนี้ จะช่วยขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศไทยในเชิงรุก ที่มี “ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” โดยเป็น “การทูตที่จับต้องได้” ซึ่งจะสะท้อนออกมาในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความมั่นคงทางเศรษฐกิจของประชาชนไทยอย่างแท้จริง
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก โดยถ่ายทอดวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจไทยผ่านแนวทางการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เพื่อยกระดับศักยภาพของประเทศในระยะยาว
โดยระบุตอนหนึ่งว่า เศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการส่งออกสินค้าและบริการคิดเป็นสัดส่วน 73% และการบริโภคภาคเอกชน 60% ซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายสร้างสมดุลใหม่ให้ระบบเศรษฐกิจ ด้วยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หนุนอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และปรับปรุงกฎระเบียบเชิงระบบให้เอื้อต่อธุรกิจ
รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวเน้นว่า รัฐจะเดินหน้าลงทุนในคมนาคม การศึกษา สาธารณสุข และพลังงาน ควบคู่กับการผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) อิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีชีวภาพ และเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมเร่งปฏิรูปกฎหมาย–ระเบียบเพื่ออำนวยความสะดวกการค้า และใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อจูงใจการลงทุนจากทั้งภาครัฐและเอกชน
นายพิชัย ยังย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างครอบคลุม โดยมองว่าการสร้างงาน เพิ่มรายได้ และกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว