
“บัวหลวง” ชี้สงคราม “อิสราเอล–อิหร่าน” ดันราคาน้ำมันพุ่ง 200% หากปิดช่องแคบ “ฮอร์มุส”
“บล.บัวหลวง” ชี้ความขัดแย้ง “อิสราเอล-อิหร่าน” อาจกระทบราคาน้ำมันพุ่ง 200% หากปิดช่องแคบ “ฮอร์มุส” จากภาวะ “ตลาดขาดสมดุล”
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ได้ทำบทวิเคราะห์สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด หลังอิสราเอลเปิดปฏิบัติการทางทหารครั้งใหญ่ในอิหร่านเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 โดยโจมตีเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์กว่า 100 จุดทั่วประเทศ รวมถึงโรงงานนิวเคลียร์ ฐานทัพ และบ้านพักของนายพลระดับสูงอย่างโฮเซน ซาลามี และโมฮัมหมัด บาเกรี ซึ่งถูกสังหารในปฏิบัติการครั้งเดียวกัน ถือเป็นการโจมตีโดยตรงที่ใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ
ด้านอิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงโดรนมากกว่า 100 ลำเข้าใส่อิสราเอล แม้ส่วนใหญ่ถูกสกัดได้แต่ได้ส่งสัญญาณชัดเจนถึงความพร้อมในการยกระดับสถานการณ์เป็นสงครามเต็มรูปแบบ ส่งผลให้อิสราเอลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและปิดสนามบินหลายแห่งทันที
บัวหลวงประเมินว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ถือเป็นการเปลี่ยนผ่านจาก “สงครามตัวแทน” สู่การเผชิญหน้าโดยตรงครั้งแรกอย่างเป็นรูปธรรม ระหว่างสองประเทศที่มีประวัติความขัดแย้งยาวนานนับตั้งแต่การปฏิวัติอิหร่านปี 1979 สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของภูมิภาคตะวันออกกลางโดยรวม และส่งผลต่อความมั่นคงด้านพลังงานของโลก
พร้อมจำแนกสถานการณ์ออกเป็น 2 รูปแบบหลัก เริ่มจาก Scenario 1: สงครามจำกัดวง (Contained War)
หากความขัดแย้งไม่ลุกลาม บัวหลวงประเมินว่าอุปทานน้ำมันสุทธิอาจลดลงราว 2.5% ของความต้องการทั่วโลก โดยผลกระทบต่อราคาน้ำมันอาจอยู่ในระดับจำกัด และผลักดันราคาน้ำมันเบรนท์ไปแตะระดับเฉลี่ยที่ 95 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นประมาณ 50% จากระดับในเดือนพฤษภาคม
Scenario 2: ปิดช่องแคบฮอร์มุส (Hormuz Blockade)
ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุสซึ่งเป็นเส้นทางลำเลียงน้ำมันกว่า 20% ของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งขึ้นถึง 200% โดยบัวหลวงคาดการณ์ราคาน้ำมันเบรนท์อาจทะยานถึง 189 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อันเป็นผลจากภาวะ “ตลาดขาดสมดุล” (Market Dislocation) ซึ่งแม้จะมีมาตรการชดเชยอุปทานจาก OPEC การผลิตนอกกลุ่ม และการระบายคลังสำรอง แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการทดแทนผลกระทบที่เกิดขึ้นในระยะสั้น
โดยบัวหลวงชี้ว่า ความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของตลาดยังมีอยู่สูง โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาอัตราส่วน Long-to-Short ของตลาดฟิวเจอร์สน้ำมัน ซึ่งพุ่งขึ้นแตะระดับ 5.2 เท่าในสัปดาห์ล่าสุด จากจุดต่ำสุดที่ 2.8 เท่าในปลายเดือนพฤษภาคม สะท้อนถึงแรงเก็งกำไรและความกังวลต่อปัญหาอุปทานระยะใกล้
ทั้งนี้ แบบจำลองราคาน้ำมันที่พัฒนาขึ้นโดยบัวหลวง ใช้แนวทาง “Event-Driven Scenario-Based” เพื่อประเมินผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงในอุปทานน้ำมัน โดยอิงจากสมมติฐานของการสูญเสียอุปทานสุทธิ (Net Supply Loss) และค่าความยืดหยุ่นของอุปสงค์ในระยะสั้น (Price Elasticity of Demand) ทำให้สามารถคาดการณ์ช่วงราคาภายใต้สถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม บัวหลวงเตือนว่า แม้ราคาน้ำมันยังไม่สะท้อนความเสี่ยงในระดับสูงสุด แต่หากสถานการณ์ยกระดับจนกระทบต่อโครงสร้างอุปทานอย่างแท้จริง อาจเกิดแรงซื้อแบบ panic รอบใหม่ในตลาดพลังงาน ซึ่งจะเร่งให้ราคาเข้าสู่ระดับวิกฤตในเวลาอันรวดเร็ว