SET INDEX ยังไร้ฐานที่มั่นคง

ต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยกดดันตลาดหุ้นอย่างหนัก แค่ 2 วันทำการ (18-19 มิถุนายน 2568) ทุบดัชนีตลาดหุ้นไทย ดิ่งไป 44.39 จุด


เส้นทางนักลงทุน

ต้องยอมรับว่าความไม่แน่นอนทางการเมืองของไทยกดดันตลาดหุ้นอย่างหนัก แค่ 2 วันทำการ (18-19 มิถุนายน 2568) ทุบดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ดิ่งไป 44.39 จุด จากระดับ 1,113.58 จุด ทรุดลงสู่ 1,069.19 จุด แรงกดดันและความกังวลต่อเสถียรภาพของรัฐบาลไทยว่าจะเดินหน้าอย่างไร ฉุดตลาดหุ้นไทยให้เซถลาจนยืนไม่อยู่

หนึ่งในความกังวล ก็คือ โครงการและมาตรการต่าง ๆ ของบางกระทรวงอาจจะต้องหยุดชะงัก หากยังมีพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่งประกาศถอนตัวเพิ่มเติมอีก เพราะจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงจุดจบของรัฐบาล หากมีจำนวน สส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่ง ซึ่งการผ่านกฎหมายต่าง ๆ จะเป็นไปได้ยาก

รวมถึงงบประมาณปี 2569 ที่สภาผู้แทนราษฎรพิจาณาไปแล้วเพียงวาระที่ 1 ซึ่งยังเหลือในวาระที่ 2 และ 3 ดังนั้นหากงบประมาณผ่านไม่ได้ เศรษฐกิจไทยก็จะขาดแรงส่งต่อจากมาตรการทางการคลังต่าง ๆ แน่นอนว่าท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ รัฐบาลฯ จำเป็นจะต้องเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา และหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับประเทศ

โดยบรรดากูรูทั้งหลาย เช่น บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ 4 กรณี คือ 1. การปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นแนวทางที่เบาที่สุด เพื่อรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยอาจมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางตำแหน่งเพื่อให้พรรคร่วมพอใจ คาดใช้เวลาราว 7-14 วัน หากมีความเห็นร่วมกันเร็ว

2.การเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หากพรรคร่วมถอนตัวหรือเสียงในสภาไม่พอ อาจมีการเสนอชื่อบุคคลใหม่เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งต้องผ่านการลงมติในสภาผู้แทนราษฎร โดยผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องได้เสียงตั้งแต่ 248 เสียงขึ้นไป (มากกว่ากึ่งหนึ่ง) คาดใช้เวลาราว 30-45 วัน

3.การยุบสภา หากความขัดแย้งดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ อาจนำไปสู่การยุบสภา ซึ่งจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 45-60 วัน เปิดโอกาสให้ประชาชนตัดสินใจใหม่ผ่านการเลือกตั้ง โดยรวมกระบวนการเลือกตั้ง และจัดตั้งรัฐบาลใหม่ใช้เวลาประมาณ 75-105 วัน

และ 4. การรัฐประหาร มักเกิดขึ้นเมื่อการเมืองถึงทางตัน มักตามมาด้วยการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ หรือคณะรักษาความสงบ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงน่าจะสร้างแรงต้านจากฝั่งประชาชนและนานาชาติสูง ซึ่งจะกระทบต่อเศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นระหว่างประเทศ

มีมุมมองต่อภาวะเศรษฐกิจและการเมืองว่า หากการเมืองในประเทศเกิด OVERHANG และยังไม่มีแนวทางที่แก้ไขชัดเจน อาจจะทำให้งบประมาณปี 2569 ที่ผ่านวาระ 1 ไปแล้วติดขัด และไม่สามารถโหวตพิจารณาวาระ 2-3 ได้ ทำให้เม็ดเงินที่จะออกมากระตุ้นเศรษฐกิจในระยะถัดไปขัดสน ซึ่งจะกดดันให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือ GDP GROWTH ในปี 2568-2569 อาจต่ำกว่าประมาณการที่หลายสำนักเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้ได้

รวมทั้งยังมีการหยิบยกข้อมูลผลกระทบในยามเสถียรภาพการเมืองไทยอ่อนแอ ในแง่มุมของผลกระทบของความไม่แน่นอนทางการเมือง อ้างอิงจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ส่งผลเชิงลบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความผันผวนอย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองส่งผลต่อเศรษฐกิจในสาขาการโรงแรมมากที่สุด รองลงมาเป็น สาขาการก่อสร้าง สาขาอสังหาริมทรัพย์ และสาขาบริการขนส่ง ตามลำดับ นอกจากนี้ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการพิจารณางบประมาณปี 2569 เลื่อนออกไปได้ หากเสถียรภาพในฝั่งรัฐบาลอ่อนแอลง

สำหรับในมุมของผลตอบแทนตลาดหุ้น หรือ SET INDEX ก่อนและหลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองมักผันผวนช่วงสั้น แต่ระยะถัดไปมักปรับตัวขึ้นได้ดี

อย่างไรก็ตาม ภาวะการเมืองในปัจจุบันคล้ายคลึงกับความขัดแย้งทางการเมืองในอดีต ณ ปี 2543 (ยุบสภา) และปี 2556 (ยุบสภา) ที่ 1 เดือนก่อนเกิดเหตุการณ์ SET INDEX ปรับตัวลงราว -1.5% ถึง -6% บ่งชี้ว่า SET INDEX มีโอกาสผันผวนต่อ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขาย หรือ VOLUME อาจหายไปอย่างมีนัยสำคัญ

และสิ่งที่จะผลักดัน SET INDEX และ VOLUME ให้ฟื้นตัวกลับมาได้ก็จะต้องรอคอย…ปัจจัยหนุนใหม่ในระยะถัดไป

Back to top button