mai FORUM 2025 เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่! ตลท. เร่งปั้น “Hidden Gems” ก้าวสู่บริษัทชั้นนำ

mai FORUM 2025 เปิดฉากอย่างยิ่งใหญ่ “ติดอาวุธ คว้าโอกาส” กลต. ชูยุทธศาสตร์ 3 ฉากทัศน์ - ตลท. เน้น mai คือเข็มทิศอนาคต


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (maiA) ร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จัดงาน mai FORUM 2025: มหกรรมรวมพลังคน mai ครั้งที่ 9 ภายใต้แนวคิด “ARMED FOR OPPORTUNITY : ติดอาวุธ คว้าโอกาส ในตลาด mai” งานนี้ถือเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนและผู้ประกอบการได้เตรียมพร้อม ปรับตัว และมองหาวิกฤตให้เป็นโอกาสใหม่ๆ โดยภายในงานมีการให้ความรู้ เสริมสร้างความเข้าใจ สร้างเครือข่าย และเปิดมุมมองใหม่ๆ เพื่อคว้าโอกาสในตลาด mai นอกจากนี้ยังเป็นเวทีกลางที่ผู้ประกอบการใน mai สามารถนำเสนอข้อมูลธุรกิจแก่นักลงทุนและผู้สนใจทั่วไป เพื่อค้นหาโอกาสทางธุรกิจของแต่ละบริษัท และส่งเสริมความเข้าใจในศักยภาพของบริษัทจดทะเบียนในตลาด mai

ในพิธีเปิดงานได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูงร่วมกล่าวปาฐกถา ได้แก่ นางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และนายอัสสเดช คงสิริกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)

นางพรอนงค์ กล่าวถึงความสำคัญของตลาด mai ว่าเป็นที่พึ่งพาและกลไกสำคัญในการระดมทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก (SMEs) ของประเทศไทย รวมถึงเป็นที่พึ่งที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทย. สำหรับธีมของงาน “ติดอาวุธเพื่อรองรับโอกาส” หรือ “Arm yourself” นั้น ก.ล.ต. มองในมิติที่กว้างและลึกกว่าเพียงแค่เครื่องมือทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงการ “ติดอาวุธ” ด้วยความรู้ องค์ความรู้ การตระหนักรู้ การเท่าทันสถานการณ์ และสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต ที่สำคัญที่สุดคือการติดอาวุธด้วย “Mindset” หรือชุดความคิดที่พร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก หรือสิ่งที่ไม่เคยเผชิญมาก่อน

 

นางพรอนงค์ ได้เล่าถึงบทบาทของ สำนักงาน ก.ล.ต. ในการกำกับและพัฒนาตลาดทุนไทย ซึ่งรวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ตลาด MAI, LiveX, ตลาดตราสารหนี้, และสินทรัพย์ดิจิทัล  โดยได้แบ่งฉากทัศน์การทำงานของ ก.ล.ต. ออกเป็น 3 ช่วงเวลาหลัก ได้แก่

1.ฉากทัศน์ในอดีต (ที่ผ่านมา) ก.ล.ต. มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการทุจริต การปั่นหุ้น หรือการใช้ข้อมูลภายใน. นอกเหนือจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและเป็นธรรมแล้ว ก.ล.ต. ยังมุ่งเน้นการ “ปิดโอกาส” ไม่ให้การกระทำผิดเกิดขึ้น โดยเน้นบทบาทของ “Three Lines of Defense” ซึ่งประกอบด้วย กรรมการ ผู้บริหาร และผู้ประกอบวิชาชีพ เช่น FA และผู้สอบบัญชี ที่ต้องร่วมกันเป็นป้อมปราการป้องกันสิ่งไม่ดีเหล่านี้. ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขในระดับหนึ่งแล้ว.

2.ฉากทัศน์ในปัจจุบัน (กำลังเดินอยู่) ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้น ตลาดทุนมีความผันผวนสูง ก.ล.ต. จึงร่วมมือกับกระทรวงการคลังและตลาดหลักทรัพย์ฯ ในการสร้างเม็ดเงินลงทุนระยะยาวเข้าสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นกองทุนวายุภักษ์, กองทุน ESG, ESG-X และการสลับกองทุน เพื่อเปลี่ยนเงินออมให้เป็นการลงทุนและสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดทุน นอกจากนี้ ยังส่งเสริมบริษัทที่ดีที่เปิดเผยข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และมีธรรมาภิบาล ESG ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี

3.ฉากทัศน์ในอนาคต (ที่จะไปข้างหน้า) ก.ล.ต. มองเห็นโอกาสสำคัญ 2 ธีมหลัก คือ “Digital Economy” และ “ESG” ในด้าน Digital Economy มีการขับเคลื่อนด้วยกฎเกณฑ์ที่อิงกับสากล และการผลักดัน พ.ร.บ. หลักทรัพย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะเปลี่ยนรูปแบบการซื้อขายในอนาคตโดยใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์. สำหรับ ESG ก.ล.ต. มุ่งสู่การปรับมาตรฐานให้สอดคล้องกับ ISB Standard

โดยตระหนักถึงข้อจำกัดของบริษัทใน MAI จึงจะเริ่มจากบริษัทขนาดใหญ่ก่อน ตามด้วยขนาดกลางและขนาดเล็ก พร้อมย้ำว่า ก.ล.ต. ทำทุกอย่างเพื่อระบบนิเวศน์ของตลาดทุนไทยให้มีความยั่งยืน ไม่เสียความสามารถในการแข่งขัน และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ด้าน นายอัสสเดช กล่าวย้ำว่า บริษัทที่จดทะเบียนในตลาด mai คือ “เข็มทิศ” หรืออนาคตของตลาดทุนไทย โดยเปรียบเทียบกับตลาด Nasdaq ของสหรัฐฯ ที่ 90% ของ 50 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดมีการเปลี่ยนแปลงไปในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา ในขณะที่ตลาดทุนไทยมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมาก ดังนั้น หน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์คือการ “ติดอาวุธ” ให้บริษัทใน mai สามารถเติบโตเป็นบริษัทชั้นนำ 10-50 อันดับแรกในตลาดทุนไทยได้ในอนาคต

ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ริเริ่มโครงการสำคัญเพื่อสนับสนุนบริษัทใน mai ได้แก่ โครงการ Jump+ ซึ่งจะเปิดตัวในวันที่ 26 มิถุนายน นี้ โครงการนี้ จะช่วยบริษัทวางแผนและที่สำคัญที่สุด คือ “การสื่อสาร” แผนของตนให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นถึง “เพชรเม็ดงาม” ที่มีอยู่ในตลาดทุนไทย

ขณะที่ Life Exchange และ Live Platform เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ช่วยให้บริษัทขนาดเล็กและสตาร์ทอัพมีโอกาสเข้าถึงตลาดทุนได้หลากหลายช่องทางมากขึ้น นอกเหนือจาก Venture Capital หรือ Pre-IPO

นายอัสสเดช ยังได้เน้นย้ำถึงความร่วมมืออันแน่นแฟ้นกับสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งมีการพูดคุยกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อพัฒนาตลาดทุน พร้อมทั้งชื่นชมบทบาทของสมาคมบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai (maiA) ที่สร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นและช่วยเหลือกันในหมู่สมาชิก แม้จะยอมรับว่าความผันผวนในปัจจุบันทำให้ยากที่จะคาดการณ์ทิศทางดัชนีในระยะสั้น แต่ก็ย้ำถึงความตั้งใจร่วมกันที่จะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ และทำให้ตลาดทุนไทยเป็นที่น่าเชื่อมั่นและน่าสนใจ

พร้อมขอให้กำลังใจผู้บริหารและบริษัทใน mai ทุกท่านให้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไปในอนาคต และหวังว่านักลงทุนจะได้เห็นศักยภาพและ “Hidden Gems” ในตลาด mai จากงานนี้

Back to top button