
BKA เด้ง 12% ยืนเหนือราคา IPO มั่นใจ Q2 โตต่อ รับอานิสงส์ฐานลูกค้าเพิ่ม
BKA บวก 12% แตะ 2.02 บาท ยืนเหนือราคา IPO มั่นใจผลงานไตรมาส 2/68 โตต่อรับดีมานด์บ้านมือสอง ผู้บริหารชี้ตลาดบ้านแนวราบคึกคัก เดินหน้าขยายพอร์ต-ปั้นแพลตฟอร์ม Prop Tech หนุนโตระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (2 ก.ค.68) ราคาหุ้น บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ณ เวลา 10:16 น. อยู่ที่ระดับ 2.02 บาท บวก 0.23 บาท หรือ 12.85% สูงสุดที่ระดับ 2.02 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.80 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 66.27 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นปัจจุบันของ BKA อยู่ที่ 2.02 บาท เพิ่มขึ้น 12% จากราคาเสนอขายครั้งแรก (IPO) ที่ 1.80 บาท ทั้งนี้ BKA เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นวันแรกเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 เปิดการซื้อขายที่ระดับ 2.40 บาท เพิ่มขึ้น 33% จากราคา IPO มีมูลค่าการซื้อขายในวันแรกอยู่ที่ 72.16 ล้านบาท
ขณะที่ นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BKA ผู้นำบริการซื้อ-ขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เปิดเผยว่า ธุรกิจบ้านมือสอง เป็นธุรกิจที่เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี บ้านมือสองยังขายดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นราคาที่กลุ่มลูกค้าที่อยากมีบ้านสามารถเข้าถึงได้ ซึ่งในปี 2567 ยอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (อ้างอิงจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC) สำหรับกลุ่มบ้านระดับราคา 3-7.5 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 20% ซึ่งเติบโตสูงกว่าบ้านใหม่มือหนึ่ง
อีกทั้งยังมีโอกาสเติบโตเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์แผ่นดินไหวในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ความต้องการจากกลุ่มคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการตัดสินใจซื้อหันกลับมาสนใจโครงการบ้านแนวราบมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สอดคล้องกับ BKA ที่เห็นทิศทางการเติบโตธุรกิจบ้านแนวราบ ซึ่งจะได้รับอานิสงส์ในไตรมาส 2/2568 เพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มธุรกิจต่อจากนี้ บริษัทเชื่อว่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจภายหลังจากการระดมทุน โดยเม็ดเงินที่บริษัทได้รับในครั้งนี้ จำนวน 108 ล้านบาท บริษัทใช้หมุนเวียนและต่อยอดเพื่อขยายพอร์ตธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะบ้านมือสองที่มีศักยภาพการเติบโตจากสถาบันการเงินและบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) อยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งคุ้มค่าต่อการลงทุน
หลังจากการนี้ บริษัทสามารถเข้าลงทุนซื้อทรัพย์ประเภท NPA จาก AMC ได้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70-80 หลังต่อปี และจะเจาะตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในเพิ่มขึ้น ภายใต้การมุ่งเน้นสินค้าบ้านเดี่ยวมือสองตกแต่งใหม่ ที่ระดับราคาตั้งแต่ 5-10 ล้านบาทเป็นหลัก เนื่องจากเป็นกลุ่ม ที่มีดีมานด์สูงมีความมั่นคงทางการเงิน และมี Rejection Rate ค่อนข้างอยู่ในระดับตํ่า ซึ่งทำให้บริษัทมีโอกาสสร้างอัตราการเติบโตต่อเนื่อง สอดรับกับการตั้งเป้ารายได้รวมที่บริษัทตั้งไว้ว่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% ต่อปี และจะเริ่มเห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ทั้งนี้ BKA วางกลยุทธ์สร้างการเติบโตผ่านการใช้ 2 กลยุทธ์หลัก คือ 1.การขยายพอร์ต ในฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันตก (นนทบุรี) ซึ่งเป็นโซนหลักที่บริษัทมีความชำนาญ
2.การขยายพอร์ตเข้าเมืองกรุงเทพฯ มากขึ้น อาทิ โซนลาดพร้าว, บางกะปิ, รามคำแหง และสวนหลวง เป็นต้น เนื่องจากเชื่อว่าในพื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อที่สูง มีดีมานด์เพิ่มขึ้น และยังถือเป็นการกระจายพอร์ตรายได้ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่รอบกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ บริษัทเร่งพัฒนา Platform เพื่อเป็นตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผ่านเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการตอบโจทย์การค้นหาข้อมูลให้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งแผนดังกล่าวจะเริ่มมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังนี้ ทั้งนี้หากแผนการพัฒนา Platform ดำเนินการจะสามารถผลักดันให้บริษัทต่อยอดไปสู่ธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) เป็นรายแรก ๆ ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์