“มาร์กอส จูเนียร์” บินด่วนเจรจา “ทรัมป์” หลังขึ้นภาษีนำเข้าฟิลิปปินส์ 20%

ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์เตรียมเยือนสหรัฐฯ หวังเจรจา “ทรัมป์” หลังถูกตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเพิ่ม 20% เหตุสหรัฐขาดดุลการค้า 1.60 แสนล้าน


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (11 ก.ค. 68) มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เปิดเผยว่า เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส จูเนียร์ ประธานาธิบดี ฟิลิปปินส์ เตรียมเดินทางเยือนกรุงวอชิงตันในเร็ว ๆ นี้ พร้อมกับเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งระหว่างสหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ รวมถึงญี่ปุ่น

รูบิโอ กล่าวในวันพฤหัสบดี 10 ก.ค. หลังพบกับผู้แทนจากฟิลิปปินส์และญี่ปุ่นในการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่ประเทศมาเลเซียว่า “เรามีความสัมพันธ์อันดีกับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ โดยทำงานกันอย่างใกล้ชิดในส่วนของระเบียงเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางทะเล และบูรณภาพแห่งดินแดน”

พร้อมกับกล่าวว่า เขาตั้งตารอต้อนรับประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ที่กรุงวอชิงตันในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ขณะที่ ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นการเยือนสหรัฐฯ ครั้งแรกของ  มาร์กอส นับตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี และเกิดขึ้นหลังจากที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากฟิลิปปินส์เป็น 20% จากเดิม 17%

ทั้งนี้ คณะผู้แทนการค้าฟิลิปปินส์มีกำหนดการเดินทางเยือนสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า เพื่อเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรเพิ่มเติม แต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าการเดินทางของมาร์กอสจะตรงกับของผู้แทนการค้าหรือไม่

ก่อนหน้านี้ Bloomberg รายงาน โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ เปิดเผยจดหมายเรียกเก็บภาษีศุลกากรรอบใหม่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ระบุว่า สินค้าทุกชนิดของประเทศฟิลิปปินส์ที่ส่งเข้าสู่สหรัฐฯ จะถูกตั้งกำแพงภาษีในอัตรา 20% จากเดิม 17% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. นี้

ขณะที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อ้างเรื่องการขาดดุลการค้าและนโยบายกีดกันสินค้าอเมริกันเป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ ตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีต่างตอบแทน โดยขู่หากประเทศใดตั้งกำแพงภาษีตอบโต้ สหรัฐฯ จะเพิ่มอัตราภาษีระดับเดียวกันทบเข้าไปบนอัตราภาษีที่ประกาศล่าสุด ส่วนจากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติสหรัฐ รายงาน สหรัฐเป็นฝ่ายขาดดุลการค้าต่อฟิลิปปินส์ 4,900 ล้านดออลาร์สหรัฐ (ราว 160,083 ล้านบาท)

Back to top button