
SCC กลับมาเริ่มทำกำไรอย่างช้าๆ
การที่ SCC กลับมาเทรด โดยใช้ชื่อ “สำนักพระคลังข้างที่” ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แทนสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไม่มีผลกระทบอะไรกับราคาหุ้น
การที่ SCC กลับมาเทรด โดยใช้ชื่อ “สำนักพระคลังข้างที่” ผู้ถือหุ้นรายใหญ่แทนสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ไม่มีผลกระทบอะไรกับราคาหุ้น เพราะเป็นบุคคลเดียวกัน ถือเป็นการปรับพอร์ตตามธรรมดา
นักลงทุน จึงต้องเน้นที่ผลประกอบการเป็นหลัก นักวิเคราะห์ที่ทำคอมปะนีวิสิตกับผู้บริหาร ออกมาให้ข่าวดีว่าราคาหุ้นที่อยู่ใต้ 150 บาท ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 177.185 บาท และฟันธงว่าจะขึ้นถึง 200 บาท เป็นเป้าหมายเบื้องต้นของปีนี้
บทสรุปเบื้องต้นของกลุ่ม SCC มีดังนี้
คาดว่ากำไรปกติปี 2025 ฟื้นตัวแรงใน 9 ไตรมาส เนื่องจากส่วนต่างของราคาของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีดีขึ้น การปรับขึ้นของราคาปูนซีเมนต์ และ SCGP ธุรกิจผลิตกระดาษที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง
การเตรียมขายหุ้นของบริษัท ซี.เอ.พี. อินเตอร์เทรด จำกัด (CAP) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตพลาสติก สาขาในอินโดนีเซียจากเดิมที่เคยถือหุ้น 30.57% ลดลงเหลือ 10.57% พร้อมเปลี่ยนสถานะจากบริษัทร่วม เป็นการลงทุนอื่นและลดส่วนร่วมในการบริหารตามแผนลดภาระทางการเงิน ซึ่งเป็นผลจากการขาดทุนจากขาลงของปิโตรเคมี
คาดว่ากำไรปกติปี 2025 จะฟื้นตัวแข็งแกร่งขึ้น จากที่ถดถอยต่อเนื่องมานานถึง 9 ไตรมาส แม้ยังมีผลขาดทุนจากบริษัท ลองเซิน ปิโตรเคมิคอลส์ จำกัด (LSP ) ที่ตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาก่อสร้างและดำเนินงาน โรงงานปิโตรเคมีครบวงจรเป็นแห่งแรกของเวียดนาม
SCC คาดว่ากำไรปกติปี 2025 จะฟื้นตัวสดใสเป็น 2,762 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.3% ใน 4 ไตรมาส แต่ยังติดลบ 19.0% เมื่อเทียบกับปีก่อน การฟื้นตัวก้าวกระโดดแบบไตรมาสต่อไตรมาส มาจากส่วนต่างของราคา (Spread) ของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้น ตั้งแต่ 4-13% ใน 9 ไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าจะยังมี supply ใหม่เพิ่มขึ้นแต่มีบางโรงงานต้องปิดตัวไป
ประกอบกับต้นทุนน้ำมันดิบปรับลงต่อเนื่อง ทำให้ส่วนต่างของราคาปิโตรเคมีดีขึ้นได้
สำหรับโรงงาน LSP ในไตรมาสนี้ยังไม่ได้ดำเนินการผลิตเหมือนไตรมาสก่อน จึงคาดว่าจะยังคงขาดทุนใกล้เคียงไตรมาสที่หนึ่งของปีนี้ เป็นการขาดทุนจากค่าเสื่อมและดอกเบี้ยจ่าย
นอกจากนี้ ธุรกิจซีเมนต์ได้อานิสงส์จากการปรับขึ้นราคาซีเมนต์ 400 บาท/ตัน และ SCGP ที่เราคาดว่าผลประกอบการจะฟื้นตัวต่อเนื่อง นอกจากนี้เงินปันผลรับจากการเข้าลงทุนในบริษัทต่าง ๆ ของเครือ SCC
จะได้รับทุกไตรมาสที่ 2 และ 4 จึงมีส่วนช่วยให้ผลประกอบการในไตรมาสนี้ดีขึ้น
สัดส่วนที่ลดลง 10.6% เหลือ 20% ของ CAP จะถือเป็นการลงทุนอื่น ซึ่งจะมีการปรับมูลค่ายุติธรรมใหม่โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ ทั้งนี้ ต้นทุนของ CAP ตามวิธีส่วนได้เสียเท่ากับ 3.3 หมื่นล้านบาท หากเทียบกับ Market cap ของ CAP ตามสัดส่วน 20% เท่ากับ 3.44 แสนล้านบาท เป็นไปได้ว่ากำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมจะมีจำนวนสูงมาก แต่เป็นกำไรทางบัญชี สำหรับสัดส่วน 10.6% เมื่อขายได้จะมีกำไรจากการขายเงินสด และนำไปลดภาระหนี้ของ SCGC
จึงมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเดินเครื่อง LSP ท่ามกลางวัฏจักรขาลงที่ยึดเยื้อ แม้ว่าธุรกิจของ SCGC ยังอยู่ใน down cycle ถึงปลายปี 2026 และโครงการ Ethane ซึ่งจะเป็น game changer ทำให้โรงงาน LSP มีต้นทุนที่ต่ำลงและสามารถแข่งขันได้ จะแล้วเสร็จในปี 2027 แต่บริษัทอาจพิจารณากลับมาเดินเครื่องโรงงาน LSP ในเดือน ส.ค.นี้ หาก Product spread ยังประคองตัวอยู่ในระดับปัจจุบันอย่างมีเสถียรภาพ
เชื่อว่า SCC ผ่านจุดที่แย่ที่สุดไปแล้ว แม้ว่าจะยังมีความท้าทายในครึ่งปีหลังของปี 2025 จากภาษีการค้าของสหรัฐฯ ก็ตาม แต่นโยบายคุมเข้มต้นทุนและรายจ่าย ไม่ก่อหนี้เพิ่ม และลดสัดส่วนธุรกิจที่ไม่ทำกำไร ทำให้ฐานะการเงินของ SCC แข็งแกร่งมากพอที่จะผ่านความท้าทายไปได้และยังให้เงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นราว 3% ต่อปี จึงคงคำแนะนำให้ซื้อ
ถือเป็นบทสรุปที่ดีของนักวิเคราะห์ ที่จะทำให้ราคาเป้าหมาย 200 บาท เป็นจริงมากขึ้น
วิษณุ โชลิตกุล