
ฟันด์โฟลว์ต่างชาติสะท้อน ‘ความหวัง’
ต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติมีการทยอยสะสมหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง 1-30 ก.ค. จึงได้เห็นยอดซื้อสะสมสุทธิอยู่ที่ 15,583.93 ล้านบาท
เส้นทางนักลงทุน
ต้องยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติมีการทยอยสะสมหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในรอบเดือนกรกฎาคม 2568 (1-30 กรกฎาคม) ที่ผ่านมา จึงได้เห็นยอดซื้อสะสมสุทธิของนักลงทุนกลุ่มนี้อยู่ที่ 15,583.93 ล้านบาท ซึ่งเป็นการหวนกลับมาซื้อสะสมหุ้นไทยอีกครั้งในรอบ 20 เดือน ส่งผลให้ตัวเลขยอดขายหุ้นไทยสุทธิลดลงเหลือ 63,108.84 ล้านบาท (1 มกราคม-30 กรกฎาคม 2568) จากในช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการขายออกเป็นหลักแสนล้านบาท
เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ หรือ ฟันด์โฟลว์ (Fund Flow) ไม่ได้ไหลกลับเพียงตลาดหุ้นไทยแต่ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชียเกือบทุกตลาด โดยสัปดาห์ล่าสุดมีแรงซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ (+1,640 ล้านดอลลาร์), ไต้หวัน (+1,422 ล้านดอลลาร์), ไทย (+273 ล้านดอลลาร์) และฟิลิปปินส์ (+6 ล้านดอลลาร์) แรงซื้อนี้มีเข้ามาต่อเนื่องเป็นสัปดาห์ที่ 5
มีการวิเคราะห์ว่าแรงซื้อนี้สะท้อน “ความหวัง” และ “ความคลี่คลาย” ต่อผลการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับหลายภูมิภาคทั่วโลก รวมทั้งความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้ง เช่น ที่ตะวันออกกลางเริ่มผ่อนคลายลง ทำให้นักลงทุนกล้าที่จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง
ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้น คำถาม คือ Fund Flow นี้ จะไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างยั่งยืนหรือไม่??? และมีสาเหตุมาจากอะไร จึงทำให้ฟันด์โฟลว์หวนกลับมา??? เพราะไทยยังไม่มีข้อสรุปประเด็นภาษีกับสหรัฐฯ อย่างชัดเจน
ซึ่งประเด็นนี้ “ปิยะทัศน์ พาโสมนัสสกุล” ผู้ช่วยผู้อำนวยการ และหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด ให้ข้อสังเกตว่า Fund Flow ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเกิดขึ้นจากความคาดหวังใหม่ “จะมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจทางการเมือง” หรือ สัญญาณ “การเลือกตั้งใหม่” เนื่องจากไทยจะมีการตัดสินคดีใหญ่ ๆ ในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งจะนำไปสู่รอยต่อของการผ่านร่างงบประมาณ ปี 2569 ซึ่งจะทำให้มีแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ จากปัจจุบันภาคเอกชนไม่กล้าลงทุน ขณะที่สถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ เพราะกลัวความเสี่ยง ดังนั้นหากความเชื่อมั่นกลับมา แม้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะไม่สูงมาก แต่สถานการณ์โดยภาพรวมจะดีขึ้น
นอกจากนี้ การที่ตลาดหุ้นไทยซื้อ/ขาย P/E ระดับ 13-15 เท่า ถือว่าถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ท่ามกลางพัฒนาการที่ดีขึ้นของตลาดหุ้นไทย การมีสินค้าที่หลากหลายเข้ามาถ่วงน้ำหนัก แม้หุ้นในกลุ่มเทคจะยังมีไม่มากนักก็ตาม
ทั้งนี้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด จะดำเนินการปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น “Slighly Overweight” จากเดิม “Neutral” โดยมองเป้าดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) สิ้นปี 2568 กรณีดีสุด ที่ระดับ 1,300-1,350 จุด อย่างไรก็ตาม กรณีเลวร้ายสุดเชื่อว่า SET Index จะไม่ต่ำกว่า 1,250-1,270 จุด
อย่างไรก็ตาม บริษัทหลักทรัพย์ ไพน์ เวลท์ โซลูชั่น จำกัด มีคำแนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในครึ่งหลังของปี 2568 ใน 3 แบบ 3 สไตล์ คือ 1. กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ต่ำให้เลือก Conservative Portfolio เน้นควบคุมความผันผวน โดยกระจายลงทุนในสินทรัพย์ ตราสารหนี้ 70% หุ้น 25% และสินทรัพย์ทางเลือก 5% เช่น กองทุนตราสารหนี้ในประเทศ เลือกกองทุน ES-CASH, กองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศเลือก UGIS-N ขณะที่กองทุนหุ้นเลือก ES-NDQPIN-A, กองทุน ES-INDAE และ ONE-EUROEQ
2. กลุ่มที่รับความเสี่ยงและความผันผวนได้สูงให้เลือก Growth Portfolio เน้นสร้างผลตอบแทนสูงโดยกระจายลงทุนในตราสารหนี้ 20% หุ้น 70% และสินทรัพย์ทางเลือก 10% สำหรับพอร์ตการลงทุนนี้จะมีการลงทุนในกองทุนหุ้น จีน, เกาหลีใต้ และเวียดนาม แนะนำกองทุน MEGA 10AICHINA-A, SCBKEQTG, PRINCIPAL VNEQ-A
3. กลุ่มที่รับความเสี่ยงได้สูงและเป็นลูกค้าประเภท Ultra-High Net Worth ซึ่งจะมีทางเลือกสำหรับการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายขึ้น เช่น สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) อาทิ Private Credit, Private Infrastructure, Private Equity รวมถึงสินทรัพย์ทางเลือกอื่นอย่าง กรมธรรม์ประกันชีวิต เงินสกุลดิจิทัล โดยกองทุนแนะนำ เช่น กองทุน ASP-SC-UI, กองทุน MPINFRA-UI, กองทุน ONE-LIFESET-UIG
กูรูส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นว่าในเดือนสิงหาคมนี้ Fund Flow จะยังคงไหลเข้าต่อเนื่อง โดยไทยจะสามารถปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ได้ไม่เกิน 20% ใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคนี้