
CGSI คงน้ำหนักลงทุน “หุ้นแบงก์” ชู KTB ท็อปพิก “ยีลด์” สูง 6-6.7%
CGSI แนะนำนักลงทุน “คงน้ำหนักการลงทุน” ในกลุ่มธนาคารไทย เนื่องจากยังขาดปัจจัยสนับสนุนในระยะสั้น โดยยังคงเลือก KTB เป็นหุ้นเด่น จากการมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 6.0-6.7% ต่อปี ในช่วงปี 68-70
ฝ่ายวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยแพร่รายงานผลสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อในไตรมาส 3/2568 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ซึ่งพบว่าความต้องการสินเชื่อจากภาคธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปใช้ลงทุนและเป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ธุรกิจ SME กลับมีแนวโน้มความต้องการสินเชื่อลดลง
ทั้งนี้ ความต้องการสินเชื่อในกลุ่มลูกค้ารายย่อยจะยังคงอยู่ในกลุ่มสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อส่วนบุคคลแบบไม่มีหลักประกัน ส่วนสินเชื่อรถยนต์และบัตรเครดิตมีแนวโน้มชะลอตัว ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางที่ธนาคารพาณิชย์ได้ให้ไว้ในการประชุมนักวิเคราะห์ไตรมาส 2/2568 ที่ผ่านมา
โดย CGSI ระบุเพิ่มเติมว่า ผลการสำรวจเจ้าหน้าที่สินเชื่ออาวุโสของธปท. พบว่าธนาคารมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อแก่กลุ่ม SME ในไตรมาส 3/2568 ขณะที่ยังคงรักษามาตรฐานเดิมไว้สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ธปท. ชี้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ไม่ได้ส่งผลชัดเจนต่อการกระตุ้นความต้องการสินเชื่อของภาคธุรกิจ และสถาบันการเงินยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคครัวเรือน ยกเว้นสินเชื่อรถยนต์
อย่างไรก็ตาม ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มีแนวโน้มผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากต้นทุนทางการเงินลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งจะทำให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนอยู่ในระดับที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ธปท. ระบุว่า ดัชนีราคารถยนต์มือสองในเดือนมิถุนายน 2568 ลดลง 6.3% จากจุดสูงสุดในเดือนกุมภาพันธ์
ขณะที่ CGSI วิเคราะห์ว่า การกลับมาซื้อขายของหุ้นบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ในตลาดหลักทรัพย์ในวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จะส่งผลบวกต่อธนาคารกรุงเทพ (BBL) และธนาคารกรุงไทย (KTB) จากการแปลงหนี้เป็นทุนในไตรมาส 4/2567 โดย BBL และ KTB ถือหุ้นใน THAI สัดส่วน 8.5% และ 4.7% ของหุ้นทั้งหมดตามลำดับ ซึ่งจะทำให้ธนาคารสามารถรับรู้กำไรผ่านรายการกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่น (OCI) และหนุนมูลค่าทางบัญชีเพิ่มขึ้น 3.3% สำหรับ BBL และ 2.3% สำหรับ KTB
ทั้งนี้แนะนำให้นักลงทุน “คงน้ำหนักการลงทุน” ในกลุ่มธนาคารไทย เนื่องจากยังขาดปัจจัยสนับสนุนในระยะสั้น โดยยังคงเลือก KTB เป็นหุ้นเด่น (Top pick) จากการมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 6.0–6.7% ต่อปี ในช่วงปี 2568–2570
อย่างไรก็ดี กลุ่มธนาคารยังเผชิญความเสี่ยงด้านขาลง (downside risk) จากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และความเป็นไปได้ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มเติมโดยธปท. ขณะที่ปัจจัยบวก (upside risk) ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงความเป็นไปได้ที่ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาด และโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่จะเปิดประมูลในระยะถัดไป