ดอกเบี้ยลดและลานีญาทำ CKP มีกำไรเพิ่ม

กำไรปกติของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ที่แข็งแรงขึ้นเกินกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ เป็นเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลง


กำไรปกติของบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP ที่แข็งแรงขึ้นเกินกว่าที่นักวิเคราะห์ในตลาดคาดการณ์ เป็นเพราะดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำลงและผลพวงจากลานีญา เขื่อนไซยะบุรีจึงผลิตไฟฟ้าได้มากขึ้น ทำให้มีกำไรเพิ่มขึ้น 137%   เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 

CKP ก่อตั้งโดยกลุ่มบริษัท ช. การช่าง จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2554 เพื่อวัตถุประสงค์ให้เป็นบริษัทแกนนำของกลุ่ม ช. การช่าง ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานประเภทต่าง ๆ  บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 และหุ้นสามัญของบริษัทได้รับการจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียน  และเริ่มทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2556 ด้วยทุนจดทะเบียน 5,500 ล้านบาท เรียกชำระเต็มมูลค่าแล้วและเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2558 บริษัทได้จดทะเบียนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 9,240 ล้านบาท

โดย ณ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 8,129 ล้านบาท  บริษัทลงทุนในบริษัทที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าในโรงไฟฟ้า 3 ประเภทได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ  โรงไฟฟ้าระบบโคเจนเนอเรชั่น  และโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์โดยแบ่งเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าที่เป็นบริษัทย่อยและบริษัทร่วมรวม 7 บริษัท

บริษัท บางปะอินโคเจนเนอเรชั่น จำกัด (BIC) ของ CKP มีรายได้และกำไรลดลงทั้ง 4 ไตรมาส เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากค่าเงินบาทที่ปรับลงและค่าก๊าซเพิ่มขึ้น  ในขณะที่ค่าใช้จ่ายบริหารและดำเนินงานปรับเพิ่มขึ้นแต่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงทั้ง 4 ไตรมาสเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อนจากอัตราดอกเบี้ยตลาดที่ปรับลง

หากหักกำไรจาก อัตราแลกเปลี่ยน (FX) ทั้งของบริษัทแม่และบริษัทร่วมไตรมาสนี้ อยู่ที่ประมาณ 247 ล้านบาท ทำให้มีกำไรจากการดำเนินงาน 353 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ตามที่ตลาดคาด

โดยภาพรวมแม้กำไรสุทธิช่วงครึ่งแรกของปีนี้อยู่ที่ 681 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของประมาณการทั้งปีและกำไรที่ดีขึ้นส่วนใหญ่มาจากกำไรจาก FX ที่เกิดจากค่าเงินบาทแข็งค่าจากโรงไฟฟ้าหลวงพระบางที่มีหนี้เป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงยังมีความไม่แน่นอน ขณะที่กำไรการดำเนินงานปกติยังเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดซึ่งคงคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 2025 จะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน  นักวิเคราะห์ยังคงคำแนะนำให้ซื้อในราคาเป้าหมายที่ 3.40 บาท ในขณะที่ราคาซื้อขายในปัจจุบันอยู่ที่ 2.90 บาท

ปัจจัยหนุนการเติบโตของกำไรหลักจะมาจากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลงและกำลังเข้าสู่ PeakSeason ในไตรมาสที่ 3 เนื่องจากน้ำในเขื่อนไซยะบุรีมีปริมาณเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับกำลังการผลิต จากผลของลานีญาทำให้ฝนตกหนักมากจึงทำให้น้ำเหนือเขื่อนมีปริมาณสูงมากกว่าปกติ

ส่วนรายได้และกำไรระยะยาวจะมาจากโรงผลิตไฟฟ้าเขื่อนหลวงพระบางที่มีกำลังผลิต 1,450 กิโลวัตต์ ที่มีกำหนดส่งไฟฟ้าเข้าระบบ (COD) ในปี 2030 หรืออีกใน 5 ปีข้างหน้า

คนที่หวังจะซื้อหุ้นตัวนี้คงต้องรอไปอีก 5 ปี

วิษณุ โชลิตกุล

Back to top button