PTTEP เล็งยอดขายปี 68 แตะ 5.17 แสนบาร์เรลต่อวัน เดินหน้ากลยุทธ์ 3D ก๊าซสะอาด

PTTEP เผยแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลังยังสดใส คาดปริมาณขายทั้งปี 68 แตะ 517,000 บาร์เรลต่อวัน ก๊าซยังเป็นหลักในพอร์ต พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ 3D เร่งโครงการดักจับ CO₂ ในไทย ดันสู่เป้า Net Zero ปี 2065 ขณะบริหารต้นทุนอย่างรัดกุม


นายเสริมศักดิ์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2568 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 มีรายได้รวม 74,612.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.56% จากไตรมาสก่อนหน้า 74,195.60 ล้านบาท แต่ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 88,531.58 ล้านบาท

ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 13,515.26 ล้านบาท ลดลง 43.63.% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 23,977.68 ล้านบาท สาเหตุหลักจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายสำรวจเพิ่มจากการตัดจำหน่ายสินทรัพย์ โครงการเม็กซิโก แปลง 29

ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2568  บริษัทมีรายได้รวม 148,530.84 ล้านบาท ลดลง 11.01% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีรายได้รวม 166,887.31 ล้านบาท ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิ 30,076.24 ล้านบาท ลดลง 29.50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 42,660.49 ล้านบาท เนื่องจากราคาขายลดลง และต้นทุนดำเนินงานรวมถึงค่าเสื่อมราคาเพิ่มขึ้น

นายเสริมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน บริษัทมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization) อยู่ที่ประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 484,950 ล้านบาท โดยกำลังการผลิตในอ่าวไทยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 82% ของพอร์ตการผลิตทั้งหมด

สำหรับปี 2568 บริษัทคาดการณ์ปริมาณการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 512,000–517,000 บาร์เรลต่อวัน โดยกว่า 70% เป็นก๊าซธรรมชาติ บริษัทตั้งเป้ารักษาต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยให้อยู่ที่ราว 30 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือ 969.90 บาท โดยในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งเป็นค่าตัดจำหน่ายและค่าเสื่อมราคา ขณะที่ต้นทุนเงินสด (Cash Cost) อยู่ที่ประมาณ 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หรือประมาณ 484.95 บาท

นายเสริมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ทุกหน่วยผลิตสามารถรักษาหรือเพิ่มปริมาณก๊าซได้ จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้า LNG ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยต้องนำเข้า LNG กว่า 10 ล้านตันต่อปี เนื่องจากความต้องการใช้ก๊าซภายในประเทศยังไม่เพียงพอ

โดยในช่วง 5–10 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้ารักษาการเติบโตของปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติไว้ที่ระดับ 2–3% ต่อปี พร้อมมุ่งเน้นการขยายการลงทุนในต่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ โดยคัดเลือกโครงการที่มีความคุ้มค่า ร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของบริษัท เช่น โครงการพัฒนาร่วมไทย–มาเลเซีย (แปลง A18) และการประมูลโครงการสำรวจในประเทศแอลจีเรีย

เพื่อสร้างฐานการผลิตที่มั่นคง แม้ต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) และเทรนด์ด้านพลังงาน (Energy Trends) ปตท.สผ. เชื่อว่า “ก๊าซธรรมชาติ” จะยังคงเป็นแหล่งพลังงานที่มั่นคงและยั่งยืน จึงกำหนดกลยุทธ์หลักในธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (E&P) มุ่งผลิตก๊าซที่สะอาดมากขึ้น ผ่าน 3D Strategy ได้แก่ 1. Drive Value – Gas-Focused Portfolio 2. Decarbonize for Cleaner Gas และ 3. Diversify for Energy Transition

สำหรับโครงการในประเทศเม็กซิโก แปลง 29 นายเสริมศักดิ์ เปิดเผยว่า เป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่อยู่ในแผนการ “Exit” ของบริษัท โดยตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทได้ทยอยถอนการลงทุนออกจากประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มยุทธศาสตร์หลัก (Non-Core Strategic) ได้แก่ แคนาดา บราซิล ออสเตรเลีย และเม็กซิโก โดยไม่มีแผนดำเนินการเพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปี ส่วนโครงการในโมซัมบิกจะมีความชัดเจนมากขึ้นในครึ่งปีหลัง ตามแผนทบทวนงบประมาณที่อยู่ระหว่างหารือกับโอเปอร์เรเตอร์หลัก

ด้านการบริหารความเสี่ยงจากราคาน้ำมันดิบ นายเสริมศักดิ์ ระบุว่า น้ำมันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุน ซึ่งหากราคาน้ำมันลดลง 1 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 32.33 บาท จะกระทบกำไรของบริษัทประมาณ 34 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1,099.22 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ก๊าซซึ่งมีสัดส่วนถึง 70% มีความผันผวนของราคาต่ำกว่า จึงช่วยลดผลกระทบโดยรวม

ขณะที่แนวโน้มในไตรมาส 3/2568 บริษัทคาดว่า ปริมาณการขายเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 515,000 บาร์เรลต่อวัน จากการเพิ่มขึ้นของปริมาณก๊าซในโครงการ A18 และในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นจากการขนถ่ายน้ำมันดิบ (crude load) ในภูมิภาค อาทิ แอลจีเรีย โอมาน และมาเลเซีย

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเดินหน้าโครงการ Carbon Capture ในโครงการ “อาทิตย์” ซึ่งตั้งอยู่ในอ่าวไทย โดยถือเป็น Sandbox Project แรกของประเทศ คาดว่าจะสามารถเข้าสู่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision – FID) ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า และสามารถดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ได้จริง พร้อมนำก๊าซส่วนเพิ่มไปจำหน่าย ซึ่งจะสนับสนุนเป้าหมายของประเทศในการก้าวสู่ Net Zero ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065)

Company Snapshot

Back to top button