นักลงทุนกับแจ็กสันโฮล

เมืองแจ็กสันโฮล เป็นเมืองบ้านนอกธรรมดาในสหรัฐฯ แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เลือกให้เป็นที่ประชุมประจำปีทางวิชาการ ที่จะมีขึ้นในวันที่ 21-23 นี้ ทำให้เมืองนี้เป็นจุดสนใจของสื่อสายเศรษฐกิจที่สำคัญ และมีชื่อเสียงขึ้นมาในฐานะเมืองที่จะเปลี่ยนโลกจากการที่ประธานเฟดเลือกเอาเมืองนี้เป็นที่พูดถึงนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ

โดยเฉพาะปีนี้เฟดเลือกเอาหัวข้อ Labor Market In Transition ขึ้นมาเป็นเรื่องหลักทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นเพราะล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ รายงานอัตราคนว่างงานเพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายนที่ระดับ 4.1% เป็น 4.2% ในเดือนกรกฎาคม อัตราการว่างงานดังกล่าวแม้ว่าจะยังไม่ถึงเขตอันตรายตามที่เฟดตั้งเอาไว้เป็นมาตรฐานคือ 5.5% แต่อัตราการว่างงานที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วถือว่าเป็นเรื่องน่าเป็นห่วง

การที่เฟดถือว่าอัตราการว่างงานมาตรฐานอยู่ที่ 5.5% มาจาก concept ที่ว่าอัตราการว่างงานที่ต่ำกว่า 5.5% นั้นมาจากการว่างงานโดยสมัครใจของแรงงาน ซึ่งเฟดจะไม่เข้าแทรกแซง แต่ในความเป็นจริงเฟดมักจะเข้าแทรกแซง เพื่อป้องกันไม่ให้เข้าเขตอันตราย ดังนั้นสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด จึงมีความหมายมากเป็นพิเศษในปีนี้

นักลงทุนเก็งกำไรกำลังจับตาดูว่าประธานเฟดจะเข้าแทรกแซงตลาดเงินและตลาดดอกเบี้ยอย่างไร เพราะถ้าค่าเงินดอลลาร์อ่อนลงการจ้างงานจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนลงได้จะต้องอาศัยการลดดอกเบี้ยนโยบายลง ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ลดอัตราดอกเบี้ยลงช่วยทำให้ความตึงเครียดเรื่องการจ้างแรงงานลดลงด้วย

เพียงแต่การลดค่าดอลลาร์ในตลาดลงย่อมส่งผลสะเทือนไปยังตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมหาศาล พร้อมกับตลาดราคาทองคำและตลาดน้ำมันดิบที่อิงกับค่าดอลลาร์ในฐานะที่เป็นสกุลเงินตัวกลางการค้าในตลาด

ถ้าหากว่านายพาวเวลล์มีมุมมองต่อตลาดแรงงานมากเป็นพิเศษ นักตีความเฟดจะมองว่าสหรัฐฯ จำต้องลดดอกเบี้ยซึ่งจะทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง ในทางกลับกัน หากนายพาวเวลล์ให้ความสำคัญต่อตลาดแรงงานน้อยกว่าที่คาด เฟดก็จะยังคงอัตราดอกเบี้ยตามเดิม

จากมุมมองทั้งสอง ได้กลายเป็นเครื่องมือของการเก็งกำไรของนักลงทุนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน ราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ซึ่งจะรู้ผลในคืนวันที่ 22 ที่จะถึงนี้

คำพูดของนายพาวเวลล์ที่เมืองแจ็กสันโฮลจึงมีความหมายและความสำคัญต่อตลาดเก็งกำไรของนักลงทุนที่กลายเป็นกระแสโลกาภิวัตน์ไปเสียแล้ว