“กรภัทร” ชี้ SET แกว่งตัวแคบ แนะลงทุน ADVANC-GULF เด่น

นายกรภัทร วรเชษฐ์ มอง SET วันนี้แกว่งตัวในกรอบให้แนวรับ 1,240–1,235 จุด แนวต้านที่ 1,260 จุด แนะกลยุทธ์ลงทุนธีม Infra tech ชู ADVANC, TRUE, WHA และ GULF ศักยภาพเติบโตแกร่ง


นายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันที่ 28 ส.ค.68 คาดว่าดัชนี SET Index ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ ลักษณะประคองตัวแนวรับอยู่ที่ 1,240–1,235 จุด และแนวต้านที่ 1,260 จุด โดยตลาดอยู่ในช่วงรอติดตามปัจจัยสำคัญทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับต่างประเทศ ประเด็นที่นักลงทุนให้ความสนใจ คือ ทิศทางนโยบายการเงิน ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ซึ่งจะมีผลต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกัน ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ต้องติดตาม ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งจะประกาศในช่วงค่ำวันนี้ 28 ส.ค. และดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่จะประกาศวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. ถือเป็นข้อมูลที่ตลาดให้ความสำคัญอย่างมาก

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาดยังได้รับอิทธิพลจากสัญญาณล่าสุด นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ส่งสัญญาณว่าภาวะเศรษฐกิจมีการชะลอตัวลงสะท้อนให้เห็นว่า Fed อาจเริ่มปูทางไปสู่การปรับลดอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลเศรษฐกิจที่จะประกาศเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ตลาดใช้ประเมินน้ำหนักความเป็นไปได้ของการเข้าสู่วัฏจักรดอกเบี้ยขาลง

สำหรับปัจจัยในประเทศ นักลงทุนควรจับตาคดีคลิปเสียงของ นางแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งศาลจะมีคำวินิจฉัยในวันพรุ่งนี้ 29 ส.ค.68 หากมีคำตัดสินที่ไม่กระทบต่อความเสี่ยงของการผ่านร่างงบประมาณปี 69 เชื่อว่าตลาดจะไม่ได้ผันผวนรุนแรงนัก

แต่หากคำตัดสินออกมาในลักษณะที่สะท้อนความเสี่ยงว่างบประมาณปี 69 อาจไม่ผ่านการพิจารณา ตลาดก็อาจเผชิญแรงเหวี่ยง และหากมองข้ามผลการตัดสินของศาล ไปจนถึงสัปดาห์หน้า คาดการณ์แนวโน้ม SET Index เคลื่อนไหวในกรอบกว้างมากขึ้น โดยมีแนวรับหลักที่ระดับ 1,220-1,200 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,285-1,295 จุด

กลับมาที่ปัจจัยพื้นฐาน SET หลังจาก บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 68 ออกมาแล้ว พบว่าภาพรวมกำไรสุทธิอยู่ที่ราว 300,000 ล้านบาท ซึ่งออกมาดีกว่าที่นักวิเคราะห์และ Consensus คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ประมาณการกำไร (Earnings Forecast) ของตลาดหุ้นไทยตามข้อมูลของ Bloomberg ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ราว 89 บาทต่อหุ้น ถือเป็นระดับที่ยังแข็งแกร่งและสนับสนุนบรรยากาศการลงทุน

ส่วนประเด็นสำคัญที่ถูกพูดถึงในการสัมมนา Thailand Focus 2025 เมื่อวานนี้ 28 ส.ค. คือ ศักยภาพของประเทศไทยในการดึงดูดอุตสาหกรรมใหม่ที่อยู่ในกระแส Megatrend โดยเฉพาะด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Infrastructure) เนื่องจาก สิงคโปร์ เริ่มถึงจุดอิ่มตัวในการรองรับศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขณะที่ มาเลเซีย กำลังเผชิญข้อจำกัดด้านไฟฟ้า ส่งผลให้การขยายฐานการลงทุนในภูมิภาคอาเซียนถูกจับตามองมากขึ้น

อีกทั้ง นักลงทุนต่างชาติ มองว่า การลงทุนในอาเซียนจะเร่งตัวแรงที่สุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น และมีศักยภาพใกล้เคียงกับจีน โดยคาดว่าอัตราการเติบโตของการลงทุนในอาเซียนในช่วง 5 ปีข้างหน้าจะอยู่ในระดับสูงที่สุดของโลก

ด้านข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สะท้อนภาพชัดเจนว่า แนวโน้มการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) ที่เข้ามาในไทยกำลังเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานและดิจิทัล

นายกรภัทรกล่าวต่อว่าในช่วง 1–2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าสู่ ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ชะลอตัวลง สำหรับไทย แม้ยังไม่ใช่จุดหมายหลักแต่มีโอกาสได้รับเงินลงทุนในระยะถัดไป โดยต้องเข้าใจวัฏจักรดอกเบี้ยโลกกำลังอยู่ในช่วงขาลง

อย่างไรก็ตามระยะสั้น ปัจจัยการเมืองในประเทศ ยังคงเป็นตัวแปรสำคัญหากศาลมีคำตัดสินที่ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและทำให้ร่างงบประมาณปี 69 มีแนวโน้มผ่านความเห็นชอบได้ จะเป็นปัจจัยบวกและเร่งให้กระแสเงินทุนต่างชาติกลับเข้าตลาดหุ้นไทยทันที จุดสำคัญที่นักลงทุนควรจับตามองในช่วงนี้ คือการเลือกหุ้นที่อยู่ใน Megatrend โดยเฉพาะกลุ่ม Infratech ซึ่งมีศักยภาพเติบโตสูง อาทิ GULF, WHA, ADVANC และ TRUE

นอกจากนี้ ยังมีหุ้นในกลุ่ม  IVL, PTTGC, PTT และ TOP ซึ่งเริ่มเห็นการปรับสถานะของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และมีโอกาสปรับตัวขึ้นตามกระแสเงินทุนที่กลับเข้าสู่ตลาด

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ ทีมวิเคราะห์มองว่า ธีม Infratech โดยหุ้น Top Play ที่แนะนำ ได้แก่ ADVANC, TRUE, WHA และ GULF ซึ่งสะท้อนทั้งศักยภาพการเติบโตและความสนใจของนักลงทุนต่างชาติ นักลงทุนควรโฟกัสกลุ่มหุ้นเหล่านี้เป็นหลัก

Back to top button