
มองข้ามช็อตหุ้นไทยวิ่งต่อ 100 จุด
ภายหลังดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) พุ่งทะลุ 1,300 จุด ซึ่งเป็นเป้าหมายที่กูรูส่วนใหญ่ทำนายไว้ ทำให้มีการมองข้ามช็อตไปยังปี 2569
เส้นทางนักลงทุน
กูรูส่วนใหญ่มองข้ามช็อตไปยังปี 2569 ว่า SET Index จะสามารถทะยานต่อไปได้อีกเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2568 แต่จะพุ่งทะยานมาก-น้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกที่จะเข้ามาสนับสนุน โดยนักวิเคราะห์หลายค่ายมองว่าปีหน้า SET Index น่าจะขยับตัวขึ้นอีกไม่มาก ยกเว้นจะมีบิ๊กเซอร์ไพร์สจากการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเห็นผลชัด และการไหลกลับของเงินทุนต่างชาติเข้ามายังตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งตลาดหุ้นไทยก็น่าจะได้รับประโยชน์
“ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ” กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ระบุว่า SET Index ปี 2569 คาดอยู่ที่ 1,440 จุด จากสิ้นปีนี้ที่ 1,300 จุด ภายใต้สมมติฐานการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยที่ 2.7-2.8% โดยมีอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) อยู่ที่ระดับ 96-97 บาทต่อหุ้น จากปีนี้ที่ระดับ 89-90 บาทต่อหุ้น มี P/E ราว 15 เท่า ขณะที่ GDP ปีนี้จะโตเพียง 1.4%
แรงหนุนในปีหน้าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจและการค้าโลก หลังมีความชัดเจนของปัจจัยต่าง ๆ รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยีมีการขยายการลงทุนจำนวนมาก
“ในประเทศไทยที่มีการสำรองการผลิตไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ รวมถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่อาจลดลง 5-7% ซึ่งจะทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของคนปรับตัวดีขึ้น” ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กล่าว
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ ชี้ว่า ณ สิ้นปี 2569 SET Index น่าจะอยู่ที่ 1,370 จุด อิงการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ราว 6% และค่า P/E เป้าหมายที่ 14.5 เท่า จากเป้าหมาย SET Index สิ้นปี 2568 ที่ 1,290 จุด ซึ่งกำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ถูกกดดัน ทำให้อัพไซด์ของตลาดจำกัด และในระยะสั้นตลาดมีแรงกดดันจากเศรษฐกิจชะลอตัว อาจกระทบกำไร บจ.ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
อีกทั้งสุญญากาศทางการเมืองช่วงครึ่งแรกของปี 2569 (ก่อน-หลังเลือกตั้ง) และการขาดมาตรการกระตุ้นทำให้โอกาสเห็นเซอร์ไพรส์เชิงบวกมีจำกัด ขณะที่ผลจากการลดดอกเบี้ยหรือเงินทุนไหลเข้าก็อาจช่วยได้ไม่มาก ขณะที่การลงทุนภาคเอกชนคือความหวังหรือเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นไทย
ภาวะเศรษฐกิจไทยอาจขาดแรงส่งจากคาดการณ์ว่าการเติบโตของเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยจะชะลอตัวลงจาก 3% ในครึ่งแรกปี 2568 เหลือ 1.4%,1.2%,1.2% และ 0.7% ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2568 ถึงไตรมาส 2 ปี 2569 มีสาเหตุจากการบริโภคที่อ่อนแอ การเร่งส่งออกล่วงหน้าและการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่ยังล่าช้า
อย่างไรก็ตาม ยังเห็นปัจจัยบวกจากการลงทุนภาคเอกชนและการใช้จ่ายภาครัฐ อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ซึ่งตัวเลขการยื่นขอลงทุน การอนุมัติและการออกใบรับรองการลงทุนเติบโต 54-122% ในครึ่งแรกปี 2568 ซึ่งบ่งชี้ว่าการลงทุนจะเติบโตแข็งแกร่งใน 24 เดือนข้างหน้า
ส่วนการใช้จ่ายภาครัฐอาจเร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะงบลงทุนราว 1.1 แสนล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานด้าน ถนน ประปา และการลงทุนอื่น ๆ ขณะที่มาตรการกระตุ้นการบริโภคระยะสั้นอาจถูกจำกัดด้วยงบประมาณที่น้อยเพียง 2.5 หมื่นล้านบาท
มีการประเมินว่าจะมีการลดดอกเบี้ยนโยบายอีก 2 ครั้ง สู่ระดับ 1% ภายในต้นปี 2569 ซึ่งปัจจัยนี้ไม่น่าจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก สมมติฐานนี้อ้างอิงข้อมูลในอดีต เนื่องจากผลตอบแทน SET Index ในรอบการลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ตั้งแต่ปี 2544 อยู่ในช่วง -25% ถึง +31% และในรอบนี้ -12% ส่วนเงินทุนต่างชาตินั้นแม้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าจะเป็นบวกต่อสินทรัพย์ตลาดเกิดใหม่ (EM) โดยรวม แต่ไทยอาจไม่ได้รับประโยชน์เสมอไป
SCB CIO มองว่าการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลง มีแนวโน้มส่งผลดีต่อหุ้นตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM Asia) ทำให้มีเงินทุนไหลเข้า จึงช่วยเพิ่มสภาพคล่อง และหนุนมูลค่า (valuation) ให้ดีขึ้น อ้างอิงสถิติที่พบว่าในช่วงเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าจะหนุนผลตอบแทนหุ้น EM Asia เป็นบวก
นอกจากนี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่า ยังช่วยลดต้นทุนหนี้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ และหนุนกำไร บจ.คาดการณ์ EPS ของหุ้นตลาดหลักใน EM Asia ปี 2568-2569 ยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดี โดยแนะนำตลาดหุ้นจีนและอินเดีย
ถือเป็นการมองข้ามช็อตตลาดหุ้นไทยไปในปี 2569 ซึ่งบรรดากูรูมองว่า SET Index จะปรับขึ้นไปได้อีกกว่า 100 จุด