
“บล.พาย” ชี้น้ำมันปรับฐาน–ดอกเบี้ยลด หนุนหุ้นกลุ่มค้าปลีก–การเงิน
บล.พาย คาดดัชนี SET วันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1,280–1,300 จุด ได้แรงหนุนจากนโยบายการเงินผ่อนคลายทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล มองบวกหุ้นกลุ่มค้าปลีก CPALL, CPAXT, BJC, HMPRO และกลุ่มการเงิน MTC, SAWAD เป็นหุ้นเด่นสำหรับการลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ PI เปิดเผยบทวิเคราะห์ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยประจำวันนี้ (30 ก.ย.68) ว่า ดัชนี SET มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 1,280–1,300 จุด โดยยังได้รับแรงสนับสนุนจากแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
บล.พาย ระบุว่า ราคาน้ำมันปรับฐานลดลง 3% พร้อมกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ (US Yield) ที่ปรับลดลง สะท้อนมุมมองการผ่อนคลายนโยบายการเงิน ซึ่งส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่มการเงิน ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยได้เผยรายละเอียดโครงการคนละครึ่ง โดยมองบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีก โดยหุ้นเด่น ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT
ส่วนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนี Dow Jones ปิดบวก 69 จุด (+0.15%) ขณะที่ Nasdaq และ S&P 500 ปรับขึ้นเช่นเดียวกัน โดยไม่ได้รับผลกระทบจากการปิดหน่วยงานรัฐบาล ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปรับลดลง 3% ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะน้ำมันล้นตลาด
ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดรายงาน Pending Home Sales ขยายตัว 4% จากเดือนก่อนหน้า สะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังไม่ให้น้ำหนักมาก เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังทรงตัว ขณะที่ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ (Dollar Index) อ่อนค่าลง ทดสอบระดับ 97.9 จากระดับก่อนหน้าที่ 98.6 ส่งผลให้ราคาทองคำ Gold Spot ปรับขึ้นแตะระดับ 3,835 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ราคาน้ำมันที่ปรับลดลงควบคู่กับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่มีโอกาสลดลง จะส่งผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าและกลุ่มที่อิงการบริโภคอย่างค้าปลีก ได้แก่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC, CPALL, CPAXT และ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO รวมถึงกลุ่มการเงินอย่าง บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC และ บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ซึ่งน่าจะได้รับผลดีจากทิศทางเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลง
ขณะที่ปัจจัยในประเทศ รัฐบาลได้เริ่มแถลงนโยบายเศรษฐกิจที่มุ่งเน้นการลดภาระค่าครองชีพและสร้างรายได้ให้แก่ประชาชน โดยในเบื้องต้นจะเน้นโครงการ “คนละครึ่ง” ในรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ “คนละครึ่งพลัส” โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจำนวน 13 ล้านสิทธิ์ จะได้รับเงินช่วยเหลือจำนวน 2,000 บาท ส่วนผู้เสียภาษีในระบบจะได้รับเงิน 2,400 บาท (จำกัดการใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาทต่อวัน) และผู้ที่ไม่อยู่ในระบบภาษีจะได้รับเงิน 2,000 บาท (จำกัดการใช้จ่ายไม่เกิน 200 บาทต่อวัน) โดยโครงการนี้จะยังคงใช้ระบบ “เป๋าตัง” เช่นเดิม ใช้งบประมาณรวมประมาณ 60,000 ล้านบาท จากงบกลางปี 2568 และงบประมาณปี 2569
กระทรวงการคลัง คาดว่าจะนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนตุลาคม และจะเปิดให้ลงทะเบียนร้านค้าและประชาชนในสัปดาห์ถัดไป โดยคาดว่าจะเริ่มใช้จ่ายได้เร็วที่สุดภายในปลายเดือนตุลาคม
บล.พาย ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก ได้แก่ BJC, CPALL, CPAXT และ HMPRO โดยในคืนนี้ตลาดจะติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ประกอบด้วยตำแหน่งงานว่าง (Job Openings) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค CB ซึ่ง Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 7.2 ล้านรายและ 96 ตามลำดับ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของ SET ในวันนี้คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 1,280–1,300 จุด โดยตลาดยังได้รับปัจจัยหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและแนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินทั้งของไทยและสหรัฐฯ ในเชิงกลยุทธ์ การลงทุนยังเน้นการซื้อขายในกลุ่มค้าปลีก (BJC, CPALL, CPAXT), ศูนย์การค้า (CPN), ธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, KTB, SCB) และกลุ่มการเงิน (MTC)
สำหรับหุ้นเด่น ได้แก่
MTC (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท) คาดว่าผลประกอบการครึ่งหลังของปี 2568 จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องทั้งเมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อน (YoY) และเทียบครึ่งปีแรก (HoH) จากสินเชื่อที่ขยายตัวและต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากทิศทางดอกเบี้ยที่ต่ำลง แม้ว่าจะมีการปรับลดประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้น แต่ยังคงมองว่ากำไรจะเติบโตเฉลี่ยราว 13% ในปี 2568–2569
CPAXT (แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท) คาดว่าจะทยอยรับรู้ผลประโยชน์จากการรวมกิจการ (Synergy benefits) ต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 แม้ว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในเดือนกรกฎาคม 2568 จะยังคงทรงตัวเมื่อเทียบปีต่อปี