“ศุภจี” ชู 7 นโยบายพาณิชย์ เร่ง ART กับสหรัฐ–จัดธงฟ้าลดค่าครองชีพ 5 พันลบ.

รมว.พาณิชย์ “ศุภจี” มอบ 7 นโยบาย Quick Big Win เร่งสรุป ART กับสหรัฐฯ ภายในปีนี้ พร้อมเดินหน้า FTA ไทย–อียู–เกาหลีใต้ และจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี ลดค่าครองชีพประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาท ควบคู่มาตรการคุมราคาข้าว–หนุนส่งออก–เสริมแกร่ง SMEs


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ต.ค.68) นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ พาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ และทูตพาณิชย์ประจำสถานทูตไทยในต่างประเทศ ผ่านระบบออนไลน์ เพื่อขับเคลื่อนภารกิจของกระทรวงพาณิชย์ในระยะสั้นและระยะยาว โดยได้มอบ 7 นโยบายสำคัญ ภายใต้แนวทาง “Quick Big Win” ที่มุ่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางเศรษฐกิจโดยเร็ว พร้อมสร้างรากฐานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยย้ำว่า การทำงานของกระทรวงต้องยึดหลัก ร่วมมือ โปร่งใส ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด

นางศุภจี กล่าวว่า หลังจากรัฐบาลได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว กระทรวงพาณิชย์ได้กำหนดแนวทางการทำงานให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยมี 7 เรื่องหลักที่จะเร่งดำเนินการ ดังนี้

1. ภาษีสหรัฐฯ และการเจรจาการค้าเร่งสรุป Agreement of Reciprocal Tax หรือข้อตกลงการจัดเก็บภาษีซ้อน(ART) กับสหรัฐฯ ภายในเดือนธันวาคม 2568 โดยปรับปรุงกฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) และการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) ให้เป็นระบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ เพื่อป้องกันสินค้าสวมสิทธิ์และเพิ่มความโปร่งใส โดยปัจจุบันได้ผลชัดเจน เช่น จากที่เคยพบเอกสาร C/O ปลอมแปลงหลักร้อยกรณีต่อปี เหลือเพียง 5 กรณีในปี พ.ศ. 2567 และไม่พบในปี พ.ศ. 2568 นอกจากนี้ จะเร่งปรับปรุงกระบวนการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ที่เคยใช้เวลา 12–18 เดือน เหลือเพียง 9 เดือน ด้วยการนำ AI มาช่วยตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูล ถือเป็น Quick Win ที่ช่วยผู้ประกอบการไทยโดยตรง

2. การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา จะช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไม่สงบ ทั้งการจัดมหกรรมธงฟ้าลดค่าครองชีพ การสนับสนุนค่าขนส่งสินค้าฟรี 100 บาทต่อชิ้น ร่วมกับไปรษณีย์ไทยเพื่อช่วยผู้ประกอบการรายย่อย เพิ่มช่องทางการตลาดใหม่ทดแทน และเร่งหาตลาดใหม่เพื่อกระจายความเสี่ยง โดยมอบหมายให้พาณิชย์จังหวัดประสานงานใกล้ชิดกับประชาชน

3. FTA และบุกตลาดใหม่ โดยไทยมี FTA 14 ฉบับกับ 18 ประเทศได้แก่ FTA ไทย–เอฟตาให้มีผลบังคับใช้ภายในครึ่งแรกปี 2569, FTA ไทย–อียู ให้ได้ข้อสรุปสำคัญภายในไตรมาสแรกปี 2569, FTA ไทย–เกาหลีใต้ ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2568 ขณะเดียวกัน จะใช้เครือข่ายทูตพาณิชย์กว่า 50 แห่งทั่วโลก หาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น ตะวันออกกลาง (ซาอุดีอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์), แอฟริกาใต้ เอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (เวียดนาม) โดยเน้นการจับคู่ผู้ซื้อ–ผู้ขาย และจัดกิจกรรมเจรจาการค้ารูปแบบใหม่

4. ดูแลค่าครองชีพประชาชน เดินหน้าจัดมหกรรมธงฟ้า 1,300 ครั้งต่อปี ลดภาระประชาชนกว่า 5,000 ล้านบาทต่อปี พร้อมร่วมมือกับโรงพยาบาลเอกชนกว่า 100 แห่งที่ลงนาม MOU กับกระทรวงพาณิชย์ ให้เปิดเผยราคายาก่อนชำระเงินเพื่อให้ประชาชนมีทางเลือกในการซื้อยาภายนอกโรงพยาบาล คาดว่า จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายกว่า 32,400 ล้านบาทต่อปี และทำให้โรงพยาบาลรัฐลดความแออัดลง โรงพยาบาลเอกชนก็จะมีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น

5. รักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว คาดว่าปีนี้จะมีผลผลิตกว่า 21.8 ล้านตัน และมีสต๊อกคงเหลือกว่า 3.5 ล้านตัน กระทรวงจะใช้มาตรการชะลอการขายด้วยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ, ให้สหกรณ์เก็บสต๊อก, ช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครอบคลุมกว่า 4.6 ล้านครัวเรือน และเร่งการส่งออกทั้งแบบจีทูจีกับจีน เพิ่มจาก 280,000 ตัน เป็น 500,000 ตัน และเจรจา MOU กับญี่ปุ่นและสิงคโปร์ เพื่อรักษาโควตาข้าวไทย นอกจากนี้เตรียมผลักดันการปรับตัวของเกษตรกรสู่การปลูกพืชคุณภาพสูง เช่น GI และพืชที่ตลาดต้องการ เพื่อลดความเสี่ยงจากการแข่งขันโลกและสภาพภูมิอากาศ

6. เสริมแกร่งผู้ประกอบการ SMEs และเพิ่มมูลค่าสินค้าไทย สนับสนุนการเข้าถึงตลาดใหม่ ทั้งเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา ลาตินอเมริกาโดยพัฒนาศักยภาพด้วยเทคโนโลยี สนับสนุนสินเชื่อ การใช้เครื่องหมายรับรองคุณภาพ เช่น Thailand Trust Mark และ Thai SELECT รวมทั้งพัฒนาแพลตฟอร์ม “MOC+” เพื่ออำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาให้ SMEs เข้าถึงการสนับสนุนของภาครัฐได้ง่ายขึ้น

7. ปรับกฎระเบียบและใช้เทคโนโลยีโดยเร่งปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เป็นอุปสรรคต่อธุรกิจ รวมถึงการนำ AI มาช่วยวิเคราะห์อุปสงค์–อุปทานของสินค้า เพื่อให้มาตรการทางการค้าทันต่อสถานการณ์ และขยายช่องทาง e-Commerce สำหรับสินค้าท้องถิ่นเข้าสู่ตลาดสากล

กระทรวงพาณิชย์อายุ 105 ปีแล้ว และจะอยู่คู่ประเทศไทยต่อไปอีกยาวนาน สิ่งที่ดิฉันและทุกท่านร่วมกันขับเคลื่อนในวันนี้ ไม่ใช่เพียง Quick Win แต่คือการวางรากฐานที่มั่นคง โปร่งใส และยั่งยืน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและพี่น้องประชาชน นางศุภจี กล่าว

Back to top button