
ตลท.จี้ BYD แจงงบ Q2 ขาดทุน 2.6 พันลบ. ปมเงินกู้ TSB-ปรับเงื่อนไข ACE เดดไลน์ 14 ต.ค.นี้
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอให้ BYD ชี้แจงผลขาดทุนไตรมาส 2/68 จำนวน 2,668 ล้านบาท จากการตั้งสำรอง ECL เงินกู้กลุ่ม TSB และการปรับเงื่อนไขเงินกู้กับ ACE ภายใน 14 ต.ค. พร้อมขอความเห็นจากบอร์ดและคณะกรรมการตรวจสอบภายใน 20 ต.ค. นี้
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้มีหนังสือขอให้ บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ชี้แจงข้อมูลในงบการเงินไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ซึ่งงวด 6 เดือน บริษัทขาดทุนสุทธิ 2,668 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 22 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการบันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นของเงินให้กู้ยืมแก่ บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) จำนวน 2,652 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขเงินให้กู้ยืมกับ บริษัท เอซ อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (ACE) ซึ่งกรณีดังกล่าวส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัท โดยตลท. ขอให้ BYD ชี้แจงข้อมูลผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่ 14 ตุลาคม 2568 และให้คณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบแสดงความเห็นภายในวันที่ 20 ตุลาคม 2568 พร้อมแนะนำให้นักลงทุนศึกษาข้อมูลงบการเงินและติดตามคำชี้แจงของบริษัทอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2565 BYD ได้ให้เงินกู้ยืมกับ ACE (บริษัทร่วม 49%) และ TSB (บริษัทร่วมทางอ้อม ซึ่งถือหุ้นโดย ACE 100%) เพื่อสนับสนุนการลงทุนขยายธุรกิจของ TSB ซึ่งประกอบธุรกิจขนส่งสาธารณะประจำทาง
ปัจจุบันมียอดเงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับกับ TSB รวม 10,759 ล้านบาท โดยตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น 7,561 ล้านบาท และมีการพักชำระคืนเงินต้นออกไปไม่เกินวันที่ 31 มกราคม 2570 รวมถึงพักชำระดอกเบี้ย 3 ปี แต่ยังคงคำนวณดอกเบี้ยต่อเนื่อง
ในเดือนมกราคม 2568 BYD ยังให้เงินกู้ยืมแก่ ACE รวม 1,050 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้เงินกู้ที่ ACE กู้มาเพื่อซื้อรถโดยสารพลังงานไฟฟ้าให้กลุ่ม TSB เช่าซื้อดำเนินกิจการ โดยกำหนดชำระคืนวันที่ 31 มีนาคม 2568 ซึ่ง ACE ได้ชำระคืนบางส่วนจำนวน 430 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ที่เหลือ 620 ล้านบาท BYD ได้ขยายเวลาชำระคืนเป็นวันที่ 31 มกราคม 2574 และปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 6-7% เหลือ 4% พร้อมให้ TSB ชำระคืนเงินกู้โดยตรงแก่ BYD รวมทั้งให้ TSB เข้าค้ำประกันการชำระหนี้
BYD ระบุในรายงาน MD&A ว่า การปรับเงื่อนไขดังกล่าวมีสาเหตุมาจากผลประกอบการของ TSB ที่ไม่เป็นไปตามแผน เนื่องจากต้องปรับวิธีคิดค่าโดยสารให้สอดคล้องกับตารางบันไดราคาตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด ส่งผลให้รายได้ของ TSB ลดลงจากประมาณการเดิมอย่างมีนัยสำคัญ.
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า ได้เคยให้ BYD ชี้แจงเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้ชี้แจงว่า การบันทึกค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตจากเงินให้กู้ยืมแก่ TSB จำนวน 4,909 ล้านบาท ในงบการเงินปี 2567 มีความสมเหตุสมผลและครบถ้วน โดยประเมินจากปัจจัยแวดล้อม เช่น ผลกระทบจากจำนวนผู้โดยสารที่อาจลดลงจากนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” ของรัฐบาล นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทได้บันทึกค่าเผื่อผลขาดทุนฯ เพิ่มเติม 73 ล้านบาท เนื่องจากยังไม่ได้รับชำระดอกเบี้ยเป็นเงินสด จึงต้องคำนวณค่าเผื่อใหม่เพื่อสะท้อนความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ตาม ตลท. ขอให้ BYD ชี้แจงเพิ่มเติมภายในวันที่ 6 ตุลาคม 2568 ในประเด็นต่อไปนี้
1.ผลกระทบจากการขยายเวลาชำระคืนเงินกู้และการปรับเงื่อนไขกับ ACE และ TSB ได้แก่
การเปลี่ยนแปลงความเสี่ยงด้านเครดิต (Counterparty Credit Risk) และแนวทางดำเนินการหากเกิดการผิดนัดชำระหนี้
ความเหมาะสมของอัตราดอกเบี้ย คุณภาพ และมูลค่าหลักประกัน (รถโดยสารไฟฟ้าที่ TSB ใช้ประกอบธุรกิจ) ว่าสอดคล้องกับความเสี่ยงและความสามารถในการชำระหนี้ของ TSB หรือไม่
ผลกระทบของเงื่อนไขใหม่ต่อฐานะการเงิน ผลการดำเนินงาน และสภาพคล่องของบริษัท รวมถึงประโยชน์ที่บริษัทจะได้รับ
สัดส่วน Exposure ของ BYD ต่อ TSB และมาตรการในการติดตามและจำกัดความเสี่ยง เนื่องจากรายได้ของ TSB ลดลงจากประมาณการเดิมอย่างมีนัยสำคัญ
รายละเอียดของกระบวนการพิจารณาและผู้มีอำนาจอนุมัติการปรับเปลี่ยนเงื่อนไขเงินกู้กับ ACE ว่าเป็นไปตามเกณฑ์และนโยบายของบริษัทหรือไม่
2.ความเห็นของคณะกรรมการบริษัทและคณะกรรมการตรวจสอบ เกี่ยวกับความเหมาะสมของการให้กู้ยืมและการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่าง ๆ
ทั้งนี้ ตลท. ย้ำให้ผู้ลงทุนติดตามคำชี้แจงจาก BYD ผ่านระบบเผยแพร่ข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ.