แนวโน้มธุรกิจกลุ่มบริษัทประกันภัย

ท่ามกลางเศรษฐกิจเติบโตระดับต่ำ กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย แต่ธุรกิจประกันยังฝ่าคลื่นลมได้ สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง


เส้นทางนักลงทุน

ท่ามกลางเศรษฐกิจเติบโตระดับต่ำ กำลังซื้อผู้บริโภคหดหาย แต่ธุรกิจประกันยังฝ่าคลื่นลมได้ สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง ภายใต้การดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง

อนาคตของกลุ่มบริษัทประกันยังคงสดใส สะท้อนได้จากการเจาะข้อมูลเชิงลึกของ “ทริสเรทติ้ง” พบว่า 7 เดือนแรกของปี 2568 กลุ่มบริษัทประกันชีวิต 21 บริษัท มีเบี้ยรับประกันภัยรวม 3.77 แสนล้านบาท โตได้ 5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยบริษัทขนาดใหญ่ 5 รายแรก มีเบี้ยรับรวมคิดเป็น 70.6% ของเบี้ยรับรวมของอุตสาหกรรม แปลว่ามีการกระจุกตัวอยู่ในผู้เล่นรายใหญ่

  • กลุ่มประกันชีวิตครึ่งแรกปี 68

ครึ่งแรกของปี 2568 กลุ่มบริษัทประกันชีวิต มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 20.1% จากปีก่อน มาอยู่ที่ 4.84 หมื่นล้านบาท อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมต่อปีอยู่ที่ 2.2% ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 4.2% โดยผลการดำเนินงานการบริการประกันภัยขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.8% จากค่าใช้จ่ายในการบริการประกันภัยเพิ่มขึ้นเป็นอัตราส่วนน้อยกว่าเทียบกับรายได้ที่เติบโต

ส่วนรายได้จากการลงทุนรวมอยู่ที่ 8.43 หมื่นล้านบาท ทรงตัว มีรายได้จากการลงทุนสุทธิอยู่ที่ 8.94 หมื่นล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน เพราะ “กำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงิน” (ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 9 (TFRS 9)

เรื่องเครื่องมือทางการเงิน ปรับตัวลดลงมากเมื่อเทียบกับปีก่อน จากการลดลงของอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนในหุ้นสามัญที่มีการปรับตัวลดลงตามดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ในส่วนของอัตราผลตอบแทนจากเงินลงทุนสุทธิ (Net investment yield) ต่อปีอยู่ที่ 4.4%

เฉพาะบริษัทประกันชีวิตที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แก่ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (BLA) และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (TLI) ปรับตัวลดลง 4.4% จากปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิรวม 9.6 พันล้านบาท เพราะรายได้จากการลงทุนสุทธิลดลง 10.1% และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวสูงขึ้น

แม้ว่าผลการดำเนินงานการบริการประกันภัยจะปรับตัวดีขึ้น 11.3% เนื่องจากรายได้จากการประกันภัยที่ปรับตัวดีขึ้นมากกว่าค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมเฉลี่ยของทั้ง 2 บริษัทต่อปีอยู่ที่ 2.1% ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 10.5%

  • ประกันวินาศภัยครึ่งแรกปี 68

ส่วนเบี้ยประกันภัยรับของประกันวินาศภัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 รวมทั้งสิ้น 1.52 แสนล้านบาท ขยายตัว 3.0%  โดย 5 รายแรกมีเบี้ยประกันภัยคิดเป็น 48.2% ของอุตสาหกรรม เป็นการกระจุกตัวของผู้เล่นรายใหญ่ เช่นเดียวกับกลุ่มบริษัทประกันชีวิต ซึ่งโดยรวมทั้งอุตสาหกรรมมีกำไรสุทธิที่ 6,772 ล้านบาท ลดลง 17.8% (รายงานผลตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน ฉบับที่ 4 (TFRS 4)) อยู่ที่ 8,071 ล้านบาท อัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมต่อปีอยู่ที่ 2.8% ขณะที่อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 8.1%

เฉพาะไตรมาส 2 ของปีนี้ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 162.7% จากไตรมาสแรกของปี จากค่าใช้จ่ายในการประกันภัยที่ลดลง และกำไรจากเงินลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อัตราส่วนรวม (Combined Ratio) ซึ่งเป็นอัตราส่วนที่วัดความสามารถในการทำกำไรจากการรับประกันภัยในไตรมาสที่ 2 ปรับตัวดีขึ้น โดยลดลงสู่ระดับ 90.9% จากระดับ 94.2% ในไตรมาสแรกของปี

ทั้งนี้เพราะอัตราส่วนรวมที่ลดลงในกลุ่มของประกันอัคคีภัย ประกันอุบัติเหตุ ประกันสุขภาพ และประกันการเดินทางเป็นหลัก ในขณะที่อัตราส่วนรวมของประกันภัยทรัพย์สินประเภทประกันภัยการเสี่ยงภัยทุกชนิด (Industry All Risk-IAR) ยังอยู่ในระดับสูงที่ 146.6% เทียบกับ 131.1% ในไตรมาสแรกของปี จากค่าใช้จ่ายในการบริการประกันภัยที่อยู่ในระดับสูง และรายได้จากการประกันภัยที่ลดลง

อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิปรับตัวดีขึ้น 124% ในไตรมาสที่ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี มีปัจจัยหลักจากการเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานการบริการประกันภัย และผลตอบแทนจากการลงทุน

ครึ่งแรกของปี 2568 รายได้จากการลงทุนสุทธิของบริษัทประกันวินาศภัยที่จดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.8% แต่มีผลขาดทุนจากมูลค่าของเงินลงทุนที่ปรับลดลงในระดับของอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการขาดทุนจากการวัดมูลค่าเงินลงทุนในตราสารทุนด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จอื่นเป็นมูลค่า 1.31 หมื่นล้านบาท โดยขาดทุน 7.3 พันล้านบาทในไตรมาสแรก และอีก 5.8 พันล้านบาทในไตรมาสที่ 2

  • อนาคตกลุ่มประกัน

“ทริสเรทติ้ง” มองแนวโน้มใน 12 เดือนข้างหน้า ประเมินว่า เบี้ยประกันชีวิตน่าจะยังเติบโตต่อเนื่อง และบริษัทประกันชีวิตยังคงสามารถทำกำไรท่ามกลางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ด้วยการนำ TFRS 17 มาใช้ ซึ่งทำให้บริษัทประกันต้องรับรู้การขาดทุนของสัญญาประกันภัยที่เป็นภาระ (Onerous Contracts) เข้างบกำไรขาดทุนทันที น่าจะทำให้บริษัทประกันชีวิตมีความระมัดระวังการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างรอบคอบโดยคำนึงถึงผลกำไรมากขึ้น ในระยะยาวการแข่งขันน่าจะลดระดับลง

อย่างไรก็ตาม คาดว่ายังมีความต้องการผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพิ่มขึ้นเฉพาะกลุ่ม เช่น ประกันทรัพย์สินจากความเสียหายจากภัยธรรมชาติ ประกันภัยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สะท้อนถึงการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น

ประกันสุขภาพที่ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ในขณะที่ประกันอุบัติเหตุและประกันการเดินทางก็มีโอกาสได้แรงหนุนจากกิจกรรมการท่องเที่ยวที่จะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปี เป็นต้น

การนำมาตรฐาน TFRS 17 มาใช้ จะส่งผลให้บริษัทประกันมีความระมัดระวังในการออกแบบผลิตภัณฑ์ โดยคำนึงถึงผลกำไรมากขึ้นแทนการแข่งขันที่เน้นขยายเบี้ยประกันภัย

Back to top button