
‘ก.ล.ต.’ เคลียร์ข้อคาใจโบรกเกอร์ แจงยิบคุมชอร์ตเซลมุ่งปิดช่องโหว่สร้างเชื่อมั่น
มาตรการและการแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับการกำกับดูแล Short Selling ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของ ก.ล.ต.และตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ได้ร่วมกันปรับปรุงมาโดยตลอด
ภายหลังจากที่กลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ได้มีข้อเสนอไปยังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 โดยทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ และ ก.ล.ต. ได้รับข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการตรวจสอบธุรกรรมการขายชอร์ตในตลาดหลักทรัพย์จากกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นธุรกรรมขายชอร์ตที่ร่วมกับการใช้ HFT (High Frequency Trading) ซึ่งมีผลกระทบในระดับสูงต่อตลาดทุน ทั้ง 2 หน่วยงานจึงได้พิจารณาร่วมกันและมีความเห็นต่อข้อเสนอแนะ ดังนี้
- ข้อเสนอเรื่องยกเลิก locate โดยเสนอให้พิจารณายกเลิกแนวทางการยืมหุ้นแบบ locate และเสนอหลักเกณฑ์ปฏิบัติของ บล. ในกรณีที่ลูกค้าขอ locate หลักทรัพย์ที่ยังไม่ชัดเจน และมาตรการป้องกันในระหว่างที่ยังไม่เลิกการเปิดให้ บล. รับคำสั่งขายชอร์ตของลูกค้าที่ยืนยันการจัดหาแหล่งยืมหุ้น หรือ locate ได้ (นอกเหนือจากการยืมหลักทรัพย์เข้าพอร์ตก่อนส่งคำสั่งขายชอร์ต) เป็น practice ที่เป็นแนวปฏิบัติสากล
เนื่องจากลูกค้ายังไม่ทราบว่า จะสามารถขายชอร์ตได้หรือไม่ ในจำนวนใด แต่ บล.ต้องมีการตรวจสอบให้มั่นใจก่อนว่า ลูกค้าสามารถยืมหุ้นเพื่อส่งมอบตามคำสั่งขายชอร์ตได้ โดยการยืมหุ้นต้องมีผลทันทีเมื่อคำสั่งขายชอร์ตได้รับการจับคู่
ก.ล.ต. อยู่ระหว่างปรับปรุงประกาศและหนังสือเวียนให้ชัดเจนขึ้น โดยได้จัดทำ focus group และชี้แจงกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) แล้ว โดย บล.จะรับคำสั่งขายชอร์ตจากลูกค้าที่ขอยืนยันการ locate จาก บล.ได้ เฉพาะเมื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
สำหรับมาตรการเสริมที่เสนอ เช่น ผู้ให้บริการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ต้องแจ้งลูกค้าที่ให้ยืมหุ้นก่อนการกันหุ้นที่ locate ให้ลูกค้าแล้วทันทีโดยไม่ให้นำไปให้ยืมซ้ำ หรือการให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมการ locate เป็นต้นนั้น ข้อเสนอดังกล่าวเป็นไปตามกฎเกณฑ์และการปฏิบัติปกติอยู่แล้ว ส่วนการที่หลักเกณฑ์ปัจจุบันยังเปิดให้ บล.เรียกหลักประกันลูกค้าสถาบันต่างจากผู้ลงทุนทั่วไปได้ เป็นไปตามหลักการทั่วไปที่ให้ บล.ดูแลจัดการลูกค้าตามความเสี่ยง
- ข้อเสนอให้การขายหุ้นที่ยืมมา ถือเป็นการขายชอร์ตทุกครั้ง แม้ในระหว่างนั้นจะมีการซื้อคืนมา โดยเห็นว่า การที่ลูกค้ายืมหุ้น และ flag S การขายชอร์ตในต้นวันแล้ว หากต่อมามีการซื้อหุ้นคืนในระหว่างวัน การขายหุ้นที่ได้ซื้อคืนมาแล้วนั้นออกไป ควรถือเป็นการขายชอร์ตด้วย
แนวทางที่เสนอดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการปฏิบัติตามที่กำหนดในกฎหมายและประกาศที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากผู้ลงทุนทั่วไป ไม่ว่าจะได้ขายชอร์ตไว้ก่อนแล้วหรือไม่ ย่อมมีสิทธิที่จะซื้อหุ้น และขายหุ้นที่ตนได้ซื้อออกไปในลักษณะ long sell ดังนั้นในทางปฏิบัติ ผู้ลงทุนจึงยืมหลักทรัพย์ตามจำนวนที่ขายชอร์ต หากมีการซื้อคืนและขายในระหว่างวัน ก็สามารถเป็น long sell ได้ และยืมหลักทรัพย์ข้ามคืนตามจำนวนหุ้นที่ยืมสุทธิจากจำนวนที่มีการซื้อคืน
- ข้อเสนอให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ทบทวนการตรวจสอบธุรกรรมขายชอร์ต โดยขอให้ตรวจสอบจากเอกสารที่ยืนยันได้ แทนการตรวจแบบพันยอด สำหรับเรื่องนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้แจ้งการตรวจสอบให้ บล.ทราบในการประชุมร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิก ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้ว เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 เกี่ยวกับการพันยอดรายการซื้อขายเพื่อหาว่ามีคำสั่งเสนอขายใดที่ไม่มีหลักทรัพย์ในครอบครองก่อนหน้าหรือไม่
โดยชี้แจงว่า การตรวจสอบดังกล่าวเป็นเครื่องมือหนึ่งในการตรวจสอบหารายการต้องสงสัย โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ สามารถตรวจหารายการต้องสงสัยด้วยวิธีอื่นเพิ่มเติมได้อีกตามความเหมาะสม
หากพบรายการต้องสงสัย บล.มีหน้าที่ส่งเอกสารหลักฐานภายในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่ารายการส่งคำสั่งเสนอขายต้องสงสัยนั้น มีหลักทรัพย์ในครอบครองก่อนส่งคำสั่ง ซึ่งต้องเป็นเอกสารหลักฐานที่เชื่อถือได้ เช่น หลักฐานจากผู้ให้ยืม หรือ หลักฐานจาก custodian เป็นต้น
ทั้งนี้การขอเอกสารหลักฐานเฉพาะรายการที่ต้องสงสัย เป็นแนวปฏิบัติของการกำกับดูแลทั่วไปเพื่อไม่ให้การขอข้อมูล สร้างภาระเกินควรแก่ผู้ลงทุนและผู้ปฏิบัติ ซึ่งส่วนมากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องอยู่แล้ว
บทส่งท้ายที่สำนักงาน ก.ล.ต.สรุป ก็คือ ทั้งหมดทั้งมวลนั้ในการปิดช่องโหว่ของการทำธุรกรรมที่ไม่ปกติ ตรวจสอบธุรกรรมให้รัดกุม เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลสูงสุดต่อตลาดทุน และเสริมสร้างความเชื่อมั่นโดยรวมในตลาดทุนไทย
และนี่คือสารที่สำนักงาน ก.ล.ต.ส่งตรงไปถึงบริษัทหลักทรัพย์ 17 แห่ง ดังนั้น…เรื่องนี้สำหรับ ก.ล.ต.จบนะ!!!…แต่สำหรับ บล.ที่เสียประโยชน์จะจบไหม??? หรือ จะเอายังไงต่อ!!!