ATLAS พุ่งแรง 22% มั่นใจพื้นฐานธุรกิจแกร่ง-นโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 30%

ATLAS พุ่งแรง 22% มั่นใจพื้นฐานธุรกิจแกร่ง-นโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 30% ฟาก “สุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์” ย้ำผู้ถือหุ้นใหญ่ PTG ล็อกอัพ 100% ไม่ขายออกแน่นอน พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(22 ต.ค.68) บริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ ATLAS ณ เวลา 10:41 น. อยู่ที่ระดับ 2.84 บาท บวก 0.52 บาท หรือ 22.41%  ราคาสูงสุด 2.88 บาท ราคาต่ำสุด 2.32 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 430.32 ล้านบาท

ด้านนายสุวัชชัย พิทักษ์วงศาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ ATLAS ให้สัมภาษณ์ในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” ว่า  ราคาหุ้น ATLAS วันแรก (20 ต.ค.2568) ที่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น บริษัทมีการเสนอหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) เพียง 418.42 ล้านหุ้น เท่านั้นเอง โดยหุ้นที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่คือ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ถือหุ้นอยู่ 70.50% ซึ่งติดล็อกอัพ 1 ปี และกรณีที่มีการลงข่าวว่า ATLAS ให้หุ้นในราคาพาร์ที่ไม่ติดระยะเวลาห้ามขาย (ไซเลนต์พีเรียด)ไปจำหน่ายนั้นเป็นข่าวเท็จ เนื่องจากเป็นไปไม่ได้เพราะหุ้นที่เป็นราคาพาร์ เป็นหุ้นที่อยู่ในมือ PTG เท่านั้นเอง โดยติดล็อกอัพอยู่ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ 55% ที่เหลืออีก 45% อยู่ที่บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ที่ติดล็อกอัพ 1 ปี ซึ่งจำนวนนี้ไม่สามารถเอามาจำหน่ายได้ จึงขอยืนยันว่าผู้ถือหุ้นใหญ่ PTG ไม่มีหุ้นจำหน่ายที่อยู่ในตลาดฯ เลย แม้แต่หุ้นเดียว

สำหรับเรื่องที่สอง มีข่าวว่านำหุ้น 418.42 ล้านหุ้นให้กับกลุ่มที่เป็น VI ที่ได้ราคาต่ำกว่าราคาพาร์ ขอยืนยันว่าเป็นไปไม่ได้ และวันนี้ในเรื่องอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิ (P/E) นั้น จากที่ธุรกิจมีรายได้จากการจำหน่ายก๊าซ LPG และมีรายได้จากการทำสื่อโฆษณา โดยรวม P/E จะอยู่ที่ประมาณ 23 เท่า แต่ P/E ของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 15 เท่า มองว่าเป็นราคาที่จูงใจให้กับนักลงทุน ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก แต่จากที่เข้าตลาดฯ แล้ว ราคาต่ำจองนั้น ต้องเรียนว่า หุ้นที่จำหน่ายไปไม่มีที่ต่ำกว่า 3 บาทแน่นอน คือ มีการ ล็อกอัพ 70.50% ของ PTG ทั้งหมด ซึ่ง PTG ไม่ได้มีนโยบายที่จะจำหน่ายหุ้นออกมาอยู่แล้ว ผู้บริหารในกลุ่ม PTG ทุกคนมั่นใจในพื้นฐานที่ดีของ ATLAS ขณะที่การจัดสรรหุ้นให้กับผู้บริหาร ATLAS และกลุ่มผู้อุปการะคุณของบริษัท ก็จัดสรรในราคา IPO ที่ 3 บาทเท่ากันหมด

ทั้งนี้ บริษัทขอยืนยันว่า ด้วยปัจจัยพื้นฐานของ ATLAS ดีอยู่แล้ว โดยบริษัทมีการจำหน่ายสินค้าด้วยโมเดลรีเทลเป็นหลัก ทำให้กำไรขั้นต้นดีกว่าผู้เล่นในตลาด 2-3 เท่า โดยมีอัตรากำไรสุทธิมากกว่า 2.50-3% จึงมีข้อแตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในท้องตลาดแน่นอน

“ในมุมของนักลงทุน ถ้าติดตาม ATLAS มาตั้งแต่ต้นโมเดลธุรกิจของ ATLAS มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ที่แตกต่างจากผู้เล่นรายอื่นในตลาด ทำให้มีอัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิที่ดีกว่าผู้เล่นรายอื่นในตลาด เพราะฉะนั้น ถ้าราคาต่ำกว่าราคา IPO ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นักลงทุนที่สนใจหุ้นที่เป็น Growth Stock มีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของนักลงทุน ขณะที่ในมุมผู้บริหาร มองว่าเป็นความท้าทายที่จะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่น เป็นสิ่งเดียวที่จะพิสูจน์ว่าหุ้น ATLAS เป็นหุ้นที่ดี โดยมั่นใจในปัจจัยพื้นฐานว่ายังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ ตอนนี้จึงเป็นโอกาสพิสูจน์ว่าเป็นบริษัทที่มีพื้นฐานที่ดี” นายสุวัชชัย กล่าว

ขณะเดียวกัน หุ้น ATLAS เป็น Growth Stock ตั้งแต่ในอดีตที่ผ่านมา ที่บริษัททำงานมาได้ บริษัทมีการลงทุนต่อยอดธุรกิจมาตลอด วันนี้จึงได้ทยอยเก็บเกี่ยวสิ่งที่ลงทุนไป รายได้จึงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเลย อย่างไรก็ตาม บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายแล้วและหักเงินตามที่ต้องสำรองตามกฎหมาย สำหรับปีนี้ก็มีความเป็นไปได้และมีโอกาสที่จะจ่ายปันผล แต่ต้องคุยกับคณะกรรมการบริษัทว่าจะจ่ายปันผลหรือไม่

สำหรับปีนี้รายได้ของสื่อโฆษณา ยังเป็นไปตามแผน เนื่องจากบริษัทได้สัญญาจากลูกค้า โดยสัดส่วนกำไรจากสื่อโฆษณา มากกว่า 60% ของกำไรสุทธิ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าผลประกอบการในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมาดี ส่วนไตรมาส 3/2568 คาดจะประกาศในเร็ว ๆ นี้ โดยยังมีความมั่นใจในการรักษามาตรฐานที่ดีได้

ด้านธุรกิจ EV จะมีดิสรัปกับธุรกิจ LPG ยังไงนั้น จากการที่บริษัทได้เงินจาก IPO ไปต่อยอดโมเดลธุรกิจ คือ ช่องทางการจำหน่ายผ่านรถยนต์ โดยมีการขยายสถานีบริการมากขึ้น มีการปรับปรุงสถานีบริการ และนำเงินส่วนหนึ่งไปทำโครงการออโต้ ทรานฟอร์ม และ แท็กซี่ ทรานฟอร์ม ซึ่งจะทำให้ฐานลูกค้าที่ใช้ LPG ใหญ่ขึ้น ซึ่ง EV จะมาดิสรัปในกลุ่มลูกค้าระดับปานกลางถึงล่าง ค่อนข้างน้อย เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่จะต้องไปเปลี่ยนเป็นรถ EV ค่อนข้างสูง แต่การที่จะเปลี่ยนมาใช้ LPG ในเงินทุนแค่ 20,000 บาทเท่านั้นเอง ประกอบกับวันนี้ก็ยังมีโครงการแท็กซี่ ทรานฟอร์ม และ ออโต้ ทรานฟอร์ม สำหรับรถบ้าน ทางบริษัทก็ช่วยลูกค้าออกสำหรับการติดตั้งครึ่งหนึ่ง ส่วนพี่ ๆ รถแท็กซี่บริษัทเปลี่ยนให้ฟรี ซึ่งการที่คนจะเปลี่ยนไปใช้รถ EV ในกลุ่มคนที่มีรายได้ปานกลางถึงล่าง จะมีผลกระทบจากเรื่อง EV น้อยมาก ส่วนคนที่มีรายได้ปานกลางถึงบน ก็ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายบริษัทอยู่แล้ว

ทั้งนี้ บริษัทมีการทำถัง Alumax ออกมา เนื่องจากถังเหล็กมีการเกิดสนิมได้ ยังทำให้วัสดุบางลง จะทำให้ไม่ปลอดภัย อีกยังถังเหล็กยังมีน้ำหนักมาก เฉพาะตัวถังมีน้ำหนัก 16 กิโลกรัมต่อใบ ถ้ารวมน้ำก๊าซจะมีน้ำหนัก 31 กิโลกรัม ถังเหล็กต้องใช้ส่วนประกอบสองชิ้นเชื่อมตรงกลาง หากมีสนิมก็อาจจะเกิดก๊าซรั่วไหลออกมาได้ ส่วนถัง Alumax มีน้ำหนักเบาแค่ 7 กิโลกรัม และไม่เป็นสนิมตลอดอายุการใช้งาน วัสดุที่ทำมาจากอลูมิเนียม และขึ้นรูปแบบไร้รอยต่อ อายุการใช้งานยาวนานกว่า และให้ความร้อนได้ดีกว่า ปรุงอาหารจะเสร็จเร็ว จะประหยัดในการใช้พลังงานมากกว่า ในด้านของกำไรขั้นต้นซึ่งกำไรต่อหน่วยดีกว่าตัวถังเหล็กแน่นอน จึงพยายามคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ไปขายถังที่เป็นพรีเมียมมากขึ้น อีกทั้ง ถัง Alumax บวกน้ำก๊าซน้ำหนักไม่เกิน 21 กิโลกรัม ซึ่ง 1 ถังประหยัดน้ำหนักไปได้ 10 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับถังเหล็ก ก็จะขนได้ในปริมาณที่มากขึ้น ต้นทุนโลจิสติกส์ก็จะถูกลง นอกจากทำราคาที่ดีกว่า ยังลดต้นทุนต่อหน่วยลงได้ พยายามทำตลาดกลางถึงบน เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคภาคครัวเรือนให้มากขึ้น เป็นจุดไฮไลท์ของบริษัท และเป็นเจ้าเดียวในประเทศไทยที่ทำถังชนิดนี้

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนราว 1,200 ล้านบาท ไปขยายธุรกิจตามแผนการที่แจ้งไว้ ดังนี้

1.ลงทุนเพื่อเพิ่มโรงบรรจุก๊าซหุงต้มและร้านจำหน่ายก๊าซหุงต้ม

2.ลงทุนเพื่อเพิ่มถังบรรจุก๊าซหุงต้มเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจีในภาคครัวเรือน

3.ลงทุนเพื่อเพิ่มสถานีบริการก๊าซแอลพีจีเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่ง

4.ลงทุนในโครงการ PT Auto Transform เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้รถยนต์ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นเชื้อเพลิง

5.ลงทุนเพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มอุตสาหกรรมและลูกค้ากลุ่มพาณิชยกรรม

6.การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจจำหน่ายก๊าซแอลพีจี และ7.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจของบริษัท ทั้งนี้ มั่นใจว่าจะช่วยต่อยอดการเติบโตเฉลี่ยกว่า 40% ต่อปีในช่วงที่ผ่านมา พร้อมทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีและมั่นคงให้กับผู้ถือหุ้นในระยะยาว

Back to top button