GFC มุ่งขยายฐาน “ลูกค้าจีน” เป็นหลัก หนุนรายได้ปีหน้าโตกว่า 10%

GFC เดินหน้าขยายธุรกิจบริการสำหรับผู้มีบุตรยากกลุ่มลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่มีศักยภาพสูง พร้อมลงทุนพัฒนาศูนย์บริการและยกระดับคุณภาพทางการแพทย์ โดยอัตราความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF) ของบริษัทอยู่ที่ 70% สูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนรายได้และโอกาสเติบโตในระยะยาว คาดว่าในปี 2569 รายได้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%


นายนที ตั้งจิตรสดใส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC เปิดเผยว่า การเข้ารับตำแหน่งในครั้งนี้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของ GFC ให้เติบโตแข็งแกร่ง โดยสืบเนื่องจากธุรกิจบริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่ากลุ่มคนรุ่นใหม่อาจเลื่อนช่วงอายุการวางแผนครอบครัว แต่เมื่อเข้าสู่วัยที่ต้องการมีบุตร ความต้องการใช้บริการกลับเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน

สำหรับตลาดลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะประเทศจีน ยังคงเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพสูงและมีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน เวียดนาม บังกลาเทศ และเมียนมาเริ่มมีการส่งเคสเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ประมาณ 5–6% ต่อปี ซึ่งยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมากในอนาคต บริษัทจึงให้ความสำคัญกับการขยายฐานลูกค้าจากประเทศจีนเป็นลำดับแรก เพื่อสนับสนุนการเติบโตระยะยาวอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน

นอกจากนี้ บริษัทให้ความสำคัญกับการลงทุนพัฒนาพื้นที่อาคารและงานตกแต่ง เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้รับบริการ แม้จะมีต้นทุนและค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้น แต่ GFC ยังคงรักษามาตรฐานคุณภาพทางการแพทย์ไว้ในระดับสูงควบคู่กับการขยายฐานลูกค้า โดยปัจจุบันบริษัทมีอัตราความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว (IVF Success Rate) อยู่ที่ประมาณ 70% ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรมที่ราว 50% สะท้อนถึงศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ และความเป็นผู้นำของบริษัทในด้านเทคโนโลยีการแพทย์สืบพันธุ์

ทั้งนี้ หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ บริษัทได้กำหนดให้สาขาพระราม 3 เป็นฐานรายได้หลัก และสาขาพระราม 9 เป็นศูนย์รองรับการเติบโตในอนาคต โดยอัตราการใช้พื้นที่ของพระราม 9 ปัจจุบันยังไม่ถึง 20% หากสามารถเพิ่มการใช้พื้นที่เป็น 40% คาดว่ารายได้รวมจะเพิ่มจากประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี เป็นกว่า 400 ล้านบาทได้

แม้กำไรสุทธิในปีนี้จะลดลงจากผลของค่าเสื่อมราคาอาคารและเครื่องมือแพทย์ใหม่ ซึ่งมีมูลค่าราว 40 ล้านบาทต่อปี แต่กระแสเงินสดของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง เนื่องจากไม่มีภาระหนี้สิน โดยค่าเสื่อมดังกล่าวถือเป็นการลงทุนตามวัฏจักรและจะช่วยสร้างประโยชน์ทางรายได้ในระยะยาวเมื่อมีการใช้งานอย่างเต็มศักยภาพ

สำหรับแนวโน้มปี 2569 บริษัทประเมินว่ารายได้จากการให้บริการจะเติบโตในอัตรา 2 หลัก หรือไม่น้อยกว่า 10% จากปี 2568 โดยคาดว่าจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นทุกไตรมาส และมองว่าในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ปี 2569 ผลการดำเนินงานจะกลับมาทำจุดสูงสุดอีกครั้ง เนื่องจากความเชื่อเรื่องปีมะแม (แพะ) ซึ่งเป็นปีที่สื่อความหมายถึงความโชคดีและความอุดมสมบูรณ์ ประกอบกับแนวโน้มอุตสาหกรรมผู้มีบุตรยากของไทยที่ยังเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ปีละประมาณ 3%

ด้านโครงสร้างต้นทุน บริษัทยังคงมีค่าเสื่อมราคาอาคารตามอายุบัญชี 10–20 ปี เครื่องมือขนาดใหญ่ราว 10 ปี และเครื่องมือขนาดเล็ก 5–7 ปี โดยมีเครื่องมือบางรายการใกล้ครบกำหนดตัดค่าเสื่อม ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาการลงทุนเพิ่มเติมเพื่อรองรับความต้องการในอนาคต

ในส่วนของบุคลากร บริษัทเตรียมเปิดรับตำแหน่งสำคัญ อาทิ ผู้บริหารระดับสูงด้าน International Marketing และทีม Strategy / Business Development เพื่อสนับสนุนการเติบโตทั้งแบบ Organic และ Inorganic รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งของตลาดต่างประเทศ

นายนที กล่าวเพิ่มเติมว่า GFC มีฐานะการเงินที่มั่นคง กระแสเงินสดแข็งแรง และยังคงสามารถจ่ายเงินปันผลได้ตามกรอบผลประกอบการ

Back to top button